จากประชาชาติธุรกิจ
วสันตฤดูมาเยือนก็ใช่ว่าจะไปเที่ยวไม่ได้ เมื่อกายพร้อมใจพร้อม สองเท้าก็ออกเดินย่ำไปข้างนอก พาร่างกายไปสูดกลิ่นอายของธรรมชาติกันค่ะ แค่คิดก็ฟินไปทั้งใจแล้ว เพราะที่ที่เราจะไปคือดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ที่ยังมีพื้นที่สีเขียวขจี และกรุ่นกลิ่นของวัฒนธรรม ชวนพาหัวใจให้เพลิดเพลินเสียเหลือเกิน
ลงจากรถ สูดอากาศเย็นๆ ของเชียงใหม่เข้าไปเต็มปอดจนรู้สึกสดชื่น เริ่มภารกิจแรกด้วยการเดินป่า แต่ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าระยะทางที่เราเดินประมาณ 1.3 กิโลเมตรเท่านั้น เพราะเราเดินบน "เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติผาลาด" ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และด้วยไปไม่ถึงบนยอดดอย เลยอดเล่าบรรยากาศข้างบนให้อ่าน แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะถึงแม้จะเป็นระยะทางใกล้ๆ แต่ก็มีเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้ฟังเพียบ
พร้อมแล้วก็ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น แบกเป้ขึ้นหลัง ฤกษ์งามยามดี 9 นาฬิกา ได้เวลาปล่อยตัวปล่อยใจหาธรรมชาติ งานนี้ไม่ได้มาคนเดียว ยังมีพี่น้องชาวเชียงใหม่นับสิบชีวิต รวมทั้ง "ดร.ปรัชญา ศรีสง่า" ผู้แนะนำกิจกรรมและพันธุ์ไม้บนพื้นที่ดอยสุเทพ ที่จะเดินทางร่วมไปกับเราตลอดทริป ซึ่งหลังฟังคำแนะนำเบื้องต้น เราเริ่มเดินจากทางลาดยางของบริเวณที่ทำการอุทยานฯ สู่ทางดินทรายผสมหิน จนถึงจุดแวะพักที่เป็นลานหิน ที่เริ่มเห็นตัวเมืองเชียงใหม่เล็กลงเรื่อยๆ ดื่มน้ำ ซับเหงื่อบนใบหน้า แล้วเดินขึ้นเนินกันต่อ วิวที่มองเห็นเริ่มแปรเปลี่ยนจากตึกรามบ้านช่องเป็นต้นไม้สีเขียวรายล้อมอยู่รอบตัว สวยมากค่ะ แต่ก็หอบแฮ่กเช่นกัน เนื่องจากความสูงของเส้นทางนี้อยู่ที่ 446-588 เมตร จากระดับน้ำทะเล ดร.ปรัชญาเล่าว่า บริเวณที่เรายืนอยู่เป็นช่วงเนินเขา (ใครไม่ได้ออกกำลังกายบ่อยๆ รับรองว่าน่องตึงแน่ๆ)
ช่วงที่เป็นเนินเขา สังเกตได้ว่าต้นไม้บางต้นก็สูงปกติ แต่ลำต้นมีเปลือกแตก ตะปุ่มตะป่ำจนเหมือนผิวหนังจระเข้ ที่เป็นแบบนี้เพราะดินที่พวกมันได้รับเป็นดินที่มาจากการชะหน้าดินบนยอดเขาไหลลงมา ทำให้สารอาหารไม่เพียงพอ อีกทั้งแสงแดดยังส่องลงมาไม่ถึง ทำให้ลำต้นมีผิวเป็นดั่งที่เห็น ถือเป็นความรู้ใหม่ เพราะผู้เขียนเองยังคิดว่าต้นไม้มันใกล้ตาย ลำต้นเลยแตกขนาดนั้น
ระหว่างทาง แนะนำให้เบิกตาให้กว้าง เก็บบรรยากาศรอบกายของคุณเอาไว้ให้ดี หลังจากเดินผ่านช่วงเนินมาแล้ว เส้นทางที่เราเดินต่อเป็นทางลาด ก็ถือว่าเดินได้สบายขึ้นหน่อย หากสังเกตให้ดีจะเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างแมลงต่างๆ หรือต้นไม้เล็กบางชนิดบนพื้นดิน ก็ระวังกันด้วยนะคะ เพราะชีวิตเล็กๆ ก็มีค่าเหมือนกัน
เดินไปเรื่อยๆ เจอต้นกระทืบยอด ทำเอาทั้งทริปสนุกสนานกันใหญ่ กระทืบยอดในที่นี้ไม่ใช่เอาเท้าไปกระทืบ แต่เป็นการส่งเสียงเพื่อทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนรบกวนปลายยอด แล้วใบจะหุบลง ซึ่งส่วนนี้ "พี่ตอง" นักวิทย์หนึ่งในก๊วนเดินป่าบอกว่า ต้นกระทืบยอดที่หุบลงเพราะต้องปกป้องตัวเองจากอุ้งเท้าของสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่แบบช้าง เวลาช้างเดินมาใกล้ ต้นกระทืบยอดจะรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนและหุบตัวลงเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งลักษณะเท้าสัตว์จะมีหว่างนิ้วที่จะมีช่องที่มีโอกาสให้ต้นไม้โผล่ออกมาได้ บวกกับการการหุบตัวลงก็จะช่วยให้มันมีโอกาสรอดชีวิต แต่จากที่ลองสัมผัสดู กว่าแม่คุณเขาจะหุบใบได้ ช้างแถวนั้นคงเหยียบตายหมดเสียก่อน
และก็ทำเอาตื่นเต้น เมื่อได้ยินเสียงซ่าดังมาแต่ไกล เดาได้ว่าต้องมีน้ำตกอยู่แถวนี้ แต่ก็ผิดค่ะ เพราะเดินขึ้นไปอีกก็ยังไม่มีวี่แววจะเจอ จินตนาการถึงสายน้ำที่เย็นฉ่ำไปก็เท่านั้น เพราะเรายังคงต้องเดินกันอีกยาว มาได้ครึ่งทางจากการบอกเล่าของเจ้าหน้าที่อุทยาน เราก็พบพันธุ์ไม้ชื่อไม่คุ้นกันเยอะเลย ทั้งคำมอกหลวง แสลงใจ รักใหญ่ กระบก เหมือดโลด ชมพู่น้ำ ติ้วขน ข่าลิง และมะเม่าทีเด็ด! ที่ชาวบ้านนำไปทำเป็นไวน์ พุ่งตรงไปที่ต้นมะเม่าของดีกันใหญ่ เด็ดแล้วลองชิมได้ค่ะ รสฝาดนำตามด้วยรสเปรี้ยวเพราะมันยังไม่สุก ทำเอาหัวเราะกันครืน มะเม่านี้ลำต้นสูงกว่าเราไม่มาก ผลใหญ่กว่าเมล็ดถั่วเขียวนิดเดียว ตอนยังไม่สุกมีสีเขียว สุกแล้วมีสีดำ ให้อารมณ์แบบพวงองุ่นไซซ์มินิ
ต้นมะเม่า
บรรยากาศยังคงครึกครื้นเฮฮา เรายังคงเดินตามกันขึ้นไปยังจุดหมาย สีสันระหว่างทางเดินคงหนีไม่พ้นเพื่อนร่วมเดินทางที่มีตั้งแต่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันไปจนถึงคุณยายอายุ 84 ปี ที่ยังคงแข็งแรงเดินนำเราอยู่หน้ากลุ่ม แอบสงสารตัวเองที่อายุแค่นี้ยังสู้คุณยายไม่ได้ ดินที่เราเดินอยู่เริ่มเปลี่ยนเป็นดินเหนียว ยิ่งสูงความอุดมสมบูรณ์ยิ่งมีมาก เจ้าหน้าที่อุทยานฯบอกกับเราว่า ตอนต้นที่เดินมาแล้วดินผสมทราย แร่ธาตุ สารอาหารจะมีน้อย เมื่อเดินมาถึงบริเวณนี้ ดินกลายเป็นดินเหนียว คือดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มีแร่ธาตุ สารอาหารเยอะ ต้นไม้บริเวณนี้ลำต้นจะเรียบ ไม่แตกเหมือนต้นไม้แถวเนินเขา
เดินเพลินกันไปอีกก็เจอเข้ากับขอนไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งถูกดัดแปลงมาเป็นม้านั่งบริเวณจุดพักสุดท้ายก่อนถึงที่หมาย ได้ยินแว่วๆ ว่าข้างบนสวยมากนะ วันนี้ท่าน ว. วชิรเมธี มาด้วย เนื่องจากมาถ่ายรายการหนึ่ง ฝ่ายธรรมะในตัวก็เข้าสิงร่าง รีบเดินด้วยความเร็วแต่ก็ไม่ลืมเก็บบรรยากาศระหว่างทางที่สูงขึ้นมาจนมองไม่เห็นเมืองเชียงใหม่ เอากับเขาเถอะ ต้นไม้สูงใหญ่ทั้งนั้นที่บดบังเราอยู่ ความอุดมสมบูรณ์คือภาพที่เราเห็นชัดที่สุดตั้งแต่เดินเข้ามา ดอยสุเทพยังคงเขียวขจี แม้วันนี้สัตว์หลายสายพันธุ์จะพบเจอได้ยากขึ้น หรือถึงขั้นสูญพันธุ์ไป แต่ก็ยังมีกลุ่มอนุรักษ์มีผู้คนคอยดูแล ป่าก็ยังเป็นป่ามีความเขียวขจี ยังคงอุดมสมบูรณ์ในสายตาของผู้ไปสัมผัส
หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อรู้ว่าตัวเองถึงแล้วจุดหมายของเรา “วัดผาลาด” เหมือนเดินมาไกลมาก (ก.ไก่ล้านตัว) แต่คงเป็นเพราะตลอดทางที่เราเดินมามีทั้งชันบ้าง ราบบ้าง จึงดูเหมือนเราเดินมาไกล แต่เมื่อได้ชมศิลปกรรมล้านนาของวัดผาลาด และความร่มรื่นภายในวัด ทั้งเสียงธารน้ำในวัดที่ไหลกระเซ็นจนกลบความคิดวุ่นวายในจิตใจ ดึงความสงบเข้ามาแทนที่
เดินอยู่ภายในวัดก็เหมือนบุญหล่นทับเรายกก๊วน เพราะมีโอกาสได้กราบท่าน ว. วชิรเมธี พอกราบท่านเสร็จ ก็แอบหลบไปยืนชื่นชมบรรยากาศเมืองเชียงใหม่จากจุดชมวิว สวยงามมาก สบายตาผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เหมือนผู้คนในเมืองเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่ตอนนี้เราถูกโอบกอดไว้ด้วยธรรมชาติ บ้านเมืองเรายังคงมีความอุดมสมบูรณ์ซ่อนเอาไว้ ความอ่อนล้าทั้งหมดที่เดินทางมามลายหายไปหมดสิ้น เมื่อได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
ฝนนี้ใครยังไม่มีไอเดีย ลองก้าวเท้าออกจากบ้าน สะพายเป้ แบกกล้องคู่ใจสักตัวแล้วไปสัมผัสธรรมชาติบนดอยสุเทพ ที่ยังมีจุดท่องเที่ยวอย่างเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาลาดให้ได้ค้นหาและสัมผัสกับความเขียวชะอุ่มของป่า หลีกหนีเมืองใหญ่แล้วไปขึ้นเขากันคะ ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต ที่หาไม่ได้จากข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เพราะการไปเห็นด้วยตา...มันคุ้มค่าที่สุดแล้ว
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,#อุปกรณ์แค้มปิง,#อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต