จากประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 18 สิงหาคม 2559 สถานการณ์น้ำเหนือจากฝนตกหนักในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ทำให้จังหวัดตามเส้นทางแม่น้ำสายสำคัญ เตรียมรับมือมวลน้ำจำนวนมากที่ไหลอย่างต่อเนื่อง โดยที่จังหวัดพิษณุโลก ได้เตรียมรองรับน้ำก้อนดังกล่าว ในพื้นที่ ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม และ ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ใน 2-3 วันนี้ พร้อมทั้งทางสำนักงานชลประทานจังหวัดพิษณุโลก ได้ส่งเร่งให้พร่องน้ำ ทั้งแม่น้ำยมสายเก่า และแม่น้ำยมสายใหม่ ให้ลงไปสู่พื้นที่ จ.พิจิตร โดยเฉพาะที่ประตูระบายน้ำบ้านวังขี้เหล็ก หมู่ 10 ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม ซึ่งเป็นประตูระบายน้ำแม่น้ำยมสายเก่า โดยทางเจ้าหน้าที่ได้เปิดประตูระบายทั้ง 4 บาย 100 % แล้ว เพื่อพร่องน้ำเข้าสู่ในพื้นที่ บ้านแม่ระหัน อ.เมือง และ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก อีกครั้ง ถึงว่าระดับน้ำแม่น้ำยมสายเก่าวันนี้เพิ่มขึ้นอีกชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร
ส่วนบริเวณแม่น้ำยมสายเก่า บ้านแม่ระหัน หมู่ที่ 10 ต.บ้านกร่าง อ.เมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกส่งต่อมาจากบ้านวังขี้เหล็ก ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม นั้นทางเจ้าหน้าที่ได้นำท่อสูบน้ำขนาดหน้ากว้าง 12 นิ้ว จำนวน 6 ท่อ มาติดตั้งเพื่อช่วยในการพร่องน้ำผ่านสะพานที่เป็นคอขวด และเป็นช่วงแม่น้ำที่แคบมาก เพื่อมิให้น้ำเอ่อล้นในบริเวณดังกล่าวได้
นายกฤษณะ บุตรบูรณ์ หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษายม-น่าน กล่าวว่า ขณะนี้น้ำจากแพร่มาถึง จ.สุโขทัยบ้างแล้ว ทำให้พื้นที่รับน้ำต่อจากสุโขทัย คือ แม่น้ำยมสายใหม่และแม่น้ำยมสายเก่า ต้องเร่งพร่องน้ำ เพื่อรอรับน้ำ จ.สุโขทัยอีกครั้ง และที่แม่น้ำยมสายเก่า ที่บ้านแม่ระหัน แห่งนี้สภาพเป็นคอขวด หรือแคบมาก ทำให้น้ำไหลไม่ทัน ซึ่งจะส่งผลให้น้ำเอ่อตลิ่งได้ง่าย ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นำท่อสูบน้ำ จำนวน 6 ท่อมาสูบเพื่อเร่งระบายน้ำ วันหนึ่งจะสามารถระบายได้ประมาณ 1,700 คิว โดยจะสูบน้ำไปจนกว่าสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งคาดว่าน้ำจาก จ.สุโขทัย มาที่ จ.พิษณุโลก จะมีปริมาณที่ค่อนข้างมาก ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ต้องรับมือ เพื่อป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่เกษตรกรรมดังกล่าว
ด้านนายบรรดิษฐ์ อินต๊ะ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิษณุโลก เปิดเผยว่า สถานการณ์การเฝ้าระวังน้ำในพื้น จ.พิษณุโลก มวลน้ำจะไหลมาจากจังหวัดแพร่ มาถึง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย แล้ว โดยปริมาณมวลน้ำอยู่ในอัตรา 700 ลบ.ม./วินาที โดยจังหวัดพิษณุโลก ได้เตรียมรองรับน้ำก้อนดังกล่าว ในพื้นที่ ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม และ ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ใน 2-3 วันนี้ และอาจส่งผลกระทบกับพื้นที่ทางการเกษตรที่ยังไม่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยทางชลประทาน ได้ประสานไปยัง นายอำเภอ เกษตรอำเภอ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง หากพื้นที่ใดเร่งเก็บเกี่ยวข้าวได้ก็ควรเร่งเก็บเกี่ยวไปก่อน เพื่อป้องกันความเสียหาย
ขณะที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายเรวัต ประสงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ทางจังหวัดได้สั่งการให้นายอำเภอทั้ง 16 แห่ง และท้องถิ่นต่างๆ เร่งดำเนินการสำรวจ แผนเผชิญเหตุปัญหาอุทกภัย ให้ใช้งานได้ 100% หากเกิดเหตุน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมชุมชนในปลายปีนี้ เนื่องจากเกือบทุกครั้งที่เกิดปัญหาน้ำท่วม หรือน้ำป่าไหลหลากในเขตภาคเหนือ จะส่งกระทบต่อจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำท้องกระทะของภาคกลาง โดยเฉพาะฝั่งทิศตะวันตกของจังหวัด คือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำน้อย เช่นที่อำเภอบางบาล มักจะประสบปัญหาน้ำท่วม ซึ่งจากการเร่งปล่อยระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาตามสถิติเดิม พบว่าหากเขื่อนเจ้าพระยาปล่อยน้ำที่ประมาณ 800-1,000 ลบ.ม./วินาที จะทำให้เกิดปัญหาน้ำล้นตลิ่ง ในพื้นที่ลุ่มต่ำของจังหวัด และทำให้เกิดนำท่วมตามชุมชนริมแม่น้ำ ที่ระดับความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร แต่หากปล่อยมาที่ 1,500 ลบ.ม./วินาทีขึ้นไป น้ำท่วมริมแม่น้ำจะขยายวงเพิ่มขึ้น ในชุมชนริมน้ำ และจุดวิกฤตน้ำจะท่วมถนนในชุมชนริมน้ำ เมื่อปล่อยน้ำท้ายเขื่อนที่ 1,800 – 2,000 ลบ.ม./วินาทีขึ้นไป ซึ่งน้ำจะท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำมากกว่า 1 เมตรแน่นอน ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อม และเป็นการไม่ประมาท จึงให้ทุกฝ่ายเตรียมแผนเพื่อช่วยเหลือและบรรเทา ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม หากในอนาคตเกิดปัญหาน้ำล้นตลิ่งในช่วงหลายฤดูฝนนี้
อย่างไรก็ตามในส่วนของจังหวัด ได้เร่งดำเนินการกำจัดผักตบชวาในแม่น้ำ 4 สาย และลำคลองสวยหลัก เพื่อไม่ให้มีสิ่งกีดขวางน้ำไหล เมื่อหากเกิดปัญหาน้ำเหลือไหลหลาก จะได้สามารถระบายน้ำตามแม่น้ำผลักดันลงทะเลได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา : มติชนออนไลน์
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,#อุปกรณ์แค้มปิง,#อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต
