สมาคมชาวสวน 8 จว. ขู่พาณิชย์ต้องรับซื้อปาล์ม 4-5 บาท/กก.
จากประชาชาติธุรกิจ
ชาวสวนเสียงแตก หลังประกาศราคาแนะนำปาล์ม กก.ละ 3.20 บ. ฝั่ง ส.ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย สับพาณิชย์เมินเสียงสะท้อนกดราคารับซื้อปาล์มต่ำกว่าทุน ฮึ่มประชุม 14 ก.ย.นี้ ขีดเส้นรัฐบาลยกระดับราคา ด้านประธานสภาเกษตรกร จ.กระบี่ ชี้ราคาแนะนำใหม่สะท้อนราคาตลาด-สกัดปัญหาลักลอบนำเข้าปาล์มเถื่อนได้
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่าจากกรณีที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศปรับลดราคาแนะนำรับซื้อผลปาล์มดิบจากเกษตรกร (เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17%) จาก กก.ละ 4.20 เหลือ กก.ละ 3.20 บาท โดยกำหนดให้ปรับเพิ่มขึ้น30 สตางค์ ต่อเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นทุก 1% เช่น หากปลูกได้ 19% จะได้ราคา 3.80 บาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่8 กันยายน 2558 ส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน เสียงแตกเป็น 2 ฝ่าย โดยฝ่ายแรกไม่เห็นด้วยกับการกำหนดราคาแนะนำต่ำกว่าต้นทุน แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยกับการปรับลดราคาแนะนำ เพราะสะท้อนราคาตลาด ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ได้ การซื้อขายผลปาล์มจะเดินต่อไปได้
นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในวันที่ 14 กันยายนนี้ กลุ่มชาวสวนปาล์มจาก 9 สมาคมในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช ตรัง กระบี่ ชุมพร พัทลุง สุราษฎร์ธานี ระนอง และสตูล จะประชุมเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาชาวสวนปาล์มขาดทุน เพราะราคาแนะนำดังกล่าวเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการปลูกปาล์มของเกษตรกรที่ ราคา กก.ละ 3.38 บาท และในทางปฏิบัติเมื่อเกษตรกรนำผลผลิตปาล์มน้ำมันเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 19% ไปขายให้โรงสกัดก็มักจะถูกประเมินว่ามีเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% จะได้ราคาเพียง กก.ละ 3.20 บาทเท่านั้น หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เกษตรกรชาวสวนปาล์มจะเดินหน้าเรียกร้องไปยังระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าว
"ในวันที่ 7 กันยายน 2558 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มฯ ไม่ได้เชิญกลุ่มเราเข้าร่วมให้ความเห็น เมื่อทราบเรื่องทางสมาคมจึงได้จัดประชุมขึ้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี คู่ขนานไปในวันเดียวกันและทำหนังสือสรุปความเห็น 10 ข้อ แต่ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับการปรับลดราคาแนะนำ
ดังนั้นกระทรวงต้อง ชี้แจงเกษตรกรให้ได้ว่า ทำไมประกาศราคาแนะนำเดิมที่รับซื้อ 4.20 บาท (เปอร์เซ็น 17%) จึงไม่สามารถทำได้ ชาวสวนผชิญราคาผลปาล์มตกต่ำ 2 ครั้งในปีนี้ คือเม.ยขายได้ กก.ละ 2.60-2.80 บาท และกย.ขายได้ 2 บาท"
ทั้ง นี้ 10 ข้อเสนอที่ยื่นต่อกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย 1) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จากโรงสกัด 1.5 แสนตัน เพื่อไปผลิตไบโอดีเซลและไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่ 2) ขอให้ปรับลดราคาจำหน่ายปุ๋ยเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนราคาน้ำมันดิบในตลาด โลกที่ปรับลดลง 70% เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลดต้นทุน 3) ให้ดูแลการนำเข้าถั่วเหลือง เพื่อมาผลิตน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งมีปริมาณมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันปาล์ม 4) ขอให้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ
5) ขอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในการสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน
6) ขอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการดูแลราคาปาล์มระดับจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการ จังหวัดเป็นประธาน ร่วมกับกรรมการจากโรงงาน ลานเท หน่วยงานฝ่ายปกครอง เกษตร และนักวิชาการ 7) รณรงค์ให้ตัดผลปาล์มสุก 8) ขอให้จัดมาตรฐานโรงสกัดที่มีคุณภาพสามารถบีบน้ำมันได้ 19%
9) ขอให้ตั้งสำนักงานคณะกรรมการปาล์มแห่งชาติ เพื่อบริหารจัดการปาล์มทั้งระบบ และ 10) ขอให้เร่งยกร่าง พ.ร.บ.ปาล์ม
สอด คล้องกับนายสุคน เฉลิมพิพัฒน์ นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ขณะนี้ใน จ.สุราษฎร์ธานียังไม่ค่อยมีการซื้อผลปาล์ม เพราะยังไม่มั่นใจกับราคาแนะนำ เนื่องจากเดิมที่เคยมีการหารือกับกระทรวง ได้ยื่นขอราคาแนะนำ กก.ละ 4-5 บาท เพราะคำนวณจากต้นทุน 3.38 บาท บวกกำไร 40% หรือ กก.ละ 4.73 บาท ซึ่งกระทรวงประกาศมา 4.20 บาท เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% แต่เมื่อมาลดราคาเป็น กก.ละ 3.20 บาท สร้างความเสียหายให้กับชาวสวน ถึงแม้ว่าจะมีเงื่อนไขให้เพิ่มราคา 1 เปอร์เซ็นต์น้ำมันได้อีก กก.ละ 30 สตางค์ แต่ชาวสวนหลายพื้นที่ เช่น อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ที่ปลูกผลผลิตได้ปาล์มเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 19-19.5% ที่นำผลปาล์มไปขายก็มักถูกกดราคารับซื้อเป็นราคาผลปาล์มเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% การแก้ไขที่ดีที่สุดคือ รัฐบาลต้องจัดการกับสต๊อกที่มีอยู่ 4.5 แสนตันว่ามาจากไหน ต้องระบายออกไปให้ได้ ทั้งนี้หากได้ข้อสรุปการหารือในวันที่ 14 กันยายนแล้วจะเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ในวันที่ 15 กันยายน ให้เสนอรัฐบาลต่อไป
ขณะที่นายพันธุ์ศักดิ์ จิตรรัตน์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ราคาแนะนำ กก.ละ 3.20 บาท สะท้อนกลไกตลาด และสมเหตุสมผล โดยขณะนี้ราคาน้ำมันดิบ (CPO) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 17-18 บาท คำนวณจากเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% คูณราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดโลก กก.ละ 20 บาท หักค่าบริหารจัดการ กก.ละ 1 บาท และหารด้วย 100 เท่ากับ 3.145 บาท หากอีก 2 สัปดาห์ราคาน้ำมัน CPO ปรับขึ้นก็สามารถปรับได้ ทั้งนี้จะช่วยให้ส่วนต่างของราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศกับตลาดโลกห่างกัน น้อยลง ซึ่งช่วยลดปัญหาการลักลอบนำเข้าได้อีกทางหนึ่งด้วย แต่หากยังคงราคาแนะนำเท่าเดิม กก.ละ 4.20 บาท โรงงานก็ไม่สามารถซื้อได้ ก็ไม่มีการซื้อขาย ในด้านการบริหารสต๊อกน้ำมัน CPO ทางปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) ได้รับไปหารือกับกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ประมูลซื้อน้ำมันปาล์ม CPO ไปผลิตไบโอดีเซลและไฟฟ้า ทดแทนน้ำมันเตา ในปริมาณ 1.5 แสนตัน โดยก่อนหน้านี้เคยมีการประมูลซื้อ CPO ไปแล้ว 1 ลอต ปริมาณ 730 ตัน ราคา กก.ละ 23 บาท
ล่าสุดปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้ออกมา แถลงข่าวเรื่องปาล์มยืนยันให้ปฏิบัติตามประกาศ กกร.รับซื้อที่ราคาไม่ต่ำกว่า3.20 บาท(17%) ณ.ลานเท หากมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงขึ้นให้ปรับราคารับซื้อเพิ่มขึ้นทุกๆ 30 สตางค์ และ ให้เข้มงวดในการขนย้ายน้ำมันปาล์มเพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าจากประเทศ เพื่อนบ้าน
พณ.ห้ามซื้อปาล์มต่ำกว่า 3.20 บ. ราคาตลาดสูงต้องปรับเพิ่มอีก สั่งคุมเข้มขนย้ายสกัดลอบนำเข้า
ก.พาณิชย์ออกประกาศรับซื้อผลปาล์มดิบ เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% กก.ละ 3.20 บาท ห้ามซื้อต่ำกว่านี้ หากราคาตลาดเพิ่ม ต้องปรับราคารับซื้อขึ้นอีก ส่วนเปอร์เซ็นต์สูงกว่าให้ปรับครั้งละ 30 สตางค์ ทำได้ 21% รับไปเลย 4.40 บาท/กก. เผย กกร.สั่งอุตฯปาล์มแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ บัญชีซื้อขาย คุมเข้มตั้งแต่ขนย้าย สกัดลักลอบนำเข้าตามชายแดน
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศความชัดเจนการรับซื้อผลปาล์มดิบจากเกษตรกร ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (ส.กกร.) โดยต้องรับซื้อผลปาล์มดิบที่เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% ราคากิโลกรัม (กก.) ละ 3.20 บาท ห้ามซื้อต่ำกว่านี้ และให้ถือว่าราคา 3.20 บาทเป็นราคาขั้นต่ำสุดที่กำหนดให้รับซื้อ แต่ถ้าต่อไปราคาตลาดเพิ่มขึ้นก็ต้องรับซื้อในราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
"กระทรวงขอยืนยันไว้ตรงนี้ ราคาขั้นต่ำสุดที่ให้ซื้อผลปาล์มดิบเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% อยู่ที่ กก.ละ 3.20 บาท แต่ถ้าเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงขึ้นก็ให้ซื้อเพิ่มขึ้นเปอร์เซ็นต์ละ 30 สตางค์ หรือถ้าทำได้ถึง 21% ก็อยู่ที่ราคา กก.ละ 4.40 บาท โดยราคารับซื้อดังกล่าว ถือว่าเกษตรกรมีกำไร และคุ้มต้นทุน และยังเป็นราคาที่สอดคล้องกับราคาตลาดโลกขณะนี้ที่ปรับตัวลดลง" น.ส.ชุติมากล่าว และว่า ต้นทุนการปลูกปาล์มอยู่ที่ กก.ละ 3.13 บาท หากรวมค่าขนส่งอีก 25 สตางค์ อยู่ที่ กก.ละ 3.38 บาท ซึ่งเป็นต้นทุนของเกษตรกรรายย่อย แต่หากเป็นสวนขนาดใหญ่ต้นทุนก็จะอยู่ที่ 2.50 บาทเท่านั้น
น.ส.ชุติมากล่าวว่า คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ยังได้กำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมปาล์มทั้งระบบจะต้องแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ บัญชีซื้อขาย โดยให้เพิ่มผู้ที่จะต้องแจ้งเพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดให้โรงงานสกัดและโรง กลั่นเท่านั้นที่ต้องแจ้ง คือ ลานเท ผู้ประกอบการซื้อหรือขาย คลังรับฝาก ผู้ค้าส่ง ค้าปลีก ยี่ปั๊ว ที่มียอดขายตั้งแต่เดือนละ 500 ตันขึ้นไป และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่มียอดซื้อตั้งแต่เดือนละ 500 ตันขึ้นไป โดยให้แจ้งภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป
น.ส.ชุติมากล่าวว่า นอกจากนี้ยังกำหนดให้โรงงานสกัดต้องแสดงอัตราร้อยละของน้ำมันปาล์มที่ผลิต ได้จากการรับซื้อผลปาล์มหรือในจุดที่เห็นได้ชัด ส่วนการควบคุมการนำเข้ากระทรวงได้หารือร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง กรมศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอให้ตรวจสอบตั้งแต่การขนย้ายน้ำมันปาล์ม การลักลอบนำเข้าตามแนวชายแดน การลักลอบนำเข้าทางทะเล การขนย้ายผ่านแดน และการสำแดงพิกัดสินค้าเป็นอย่างอื่น เพื่อให้สามารถควบคุมติดตามน้ำมันปาล์มได้ทั้งระบบ
ที่มา : นสพ.มติชน
ไร่รักษ์ไม้,Eosgear,มูลไส้เดือน,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,victorinox,แปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,servival Kit,ราคา,อร่อย