สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดงานวิจัย 2 ฉบับ ฉายภาพหายนะ จากป่าต้นน้ำถึงท้องทะเลไทย ใครคือตัวการ

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

        ช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ภาพของภูเขาหัวโล้น และภาพความเสื่อมโทรมของพื้นที่ป่าต้นน้ำในภาคเหนือ ภาพของเรือประมงประเภทเรืออวนลาก อวนรุน และภาพของลูกปลาตัวเล็กๆ ในท้องทะเลไทย ได้ถูกเผยแพร่สู่โลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มานานไม่ต่ำกว่า 3 ทศวรรษ
       
       แต่ภูเขาหัวโล้น ไร่ข้าวโพด เรืออวนลาก อวนรุน ลูกปลาตัวเล็กๆ เหล่านั้นมีความเกี่ยวพันกันอย่างไร ทั้งยังพบข้อมูลใหม่ๆ ว่า กรณีประเทศไทยถูกใบเหลืองจากสหภาพยุโรป หรือ EU นั้นก็ล้วนมีความเกี่ยวพันเป็นเรื่องเดียวกันชนิดแยกส่วนหนึ่งส่วนใดออกไป ไม่ได้
       
       ที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้กระทั่งปัญหาเรือประมงผิดกฎหมาย การล่อลวงแรงงาน ไปจนกระทั่งประเด็นเรื่องการค้ามนุษย์ที่เป็นการก่ออาชญากรรมต่อเพื่อน มนุษย์ ก็ล้วนแต่มีส่วนเกี่ยวพันกันอย่างน่าประหลาดใจ เป็นความเกี่ยวพันกันโดยมีเงาทะมึนของกลุ่มทุนยักษ์ทาบทาอยู่เบื้องหลัง เป็นกิจการ เป็นผลกำไรของกลุ่มทุนใหญ่ที่เดิมพันด้วยป่าต้นน้ำ และความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย
       
       “ASTVผู้จัดการภาคใต้” นำงานวิจัย 2 ฉบับ คือ 1.“การวิเคราะห์ การจัดการห่วงโซ่อุปทานของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อส่งเสริมการจัดการลุ่มน้ำอย่างยั่งยืนในจังหวัดน่าน” และ 2.“การจัดทำแผนที่ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมการผลิตปลาป่นในจังหวัดสงขลา เพื่อสนับสนุนการปรับปรุงมาตรฐานความยั่งยืนในการผลิต” มาเผยแพร่ต่อให้ผู้ที่สนใจได้ค้นพบคำตอบว่า เหตุใดป่าต้นน้ำทางภาคเหนือจึงถูกทำลายย่อยยับ พอๆ กับท้องทะเลไทย ที่นับวันจะมีทรัพยากรร่อยหรอลงไปทุกที
       
       งานวิจัย 2 หัวข้อนี้ จัดทำโดยคณะวิจัยจากบริษัท ป่าสาละ จำกัด นำทีมวิจัยโดย สฤณี อาชวานันทกุล ซึ่งขณะนี้ได้นำเสนอผลงานวิจัยทั้ง 2 หัวข้อไว้ในเว็บบล็อกhttp://www.salforest.com/knowledge/trashfish- research-aug ซึ่ง “ASTVผู้จัดการภาคใต้” รวบรวมทั้ง 2 หัวข้อมาไว้ให้ท่านผู้อ่านสามารถติดตามเนื้อหาได้อย่างสะดวก ณ ที่นี้ ติดตามได้จากเนื้อหาด้านล่าง
       
       **** ‘ซีพี’ ‘เบทาโกร’ ‘ธ.ก.ส.’ ความหวังการปลูกข้าวโพดอย่างยั่งยืนที่น่าน
       
       ผลการวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์ การจัดการห่วงโซ่อุปทานของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อส่งเสริมการจัดการลุ่มน้ำอย่างยั่งยืนในจังหวัดน่าน” ชี้ว่า โรงงานผลิตอาหารสัตว์รายสำคัญอย่างเครือซีพี และเบทาโกร รวมถึงธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีศักยภาพในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ อันเกิดจากการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างไม่เหมาะสมในจังหวัดน่าน เพราะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญที่สุด จึงสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมให้ผู้เล่นรายอื่นๆ ปฏิบัติตามได้
       
       งานวิจัยชิ้นนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานโครงการพัฒนาแห่ง สหประชาชาติ (UNDP) และสำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) โดยคณะวิจัยจากบริษัท ป่าสาละ จำกัด นำทีมวิจัยโดย สฤณี อาชวานันทกุล ได้ดำเนินการวิจัยทั้งเชิงคุณภาพ และปริมาณตลอดระยะเวลาครึ่งปี ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงพฤศจิกายน พ.ศ.2556 ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำสาขายาว-อวน-มวบ จังหวัดน่าน ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลพงษ์ ตำบลดู่พงษ์ และตำบลป่าแลวหลวง ในอำเภอสันติสุข และตำบลอวน ในอำเภอปัว เพื่อจัดทำแผนที่และวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมการ ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในจังหวัดน่าน รวมถึงค้นหาศักยภาพในการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
       
       คณะวิจัยพบว่า พฤติกรรมของเกษตรกรรายย่อยซึ่งเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ชัน ก่อให้เกิดปัญหาสังคม และสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะนอกจากจะไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกแล้ว พื้นที่ชันส่วนใหญ่ยังเกิดจากการบุกรุกป่าต้นน้ำสำคัญ ซึ่งจากการคำนวณเปรียบเทียบภาพถ่ายดาวเทียม โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA พบว่า ระหว่างปี 2545 และ 2556 พื้นที่ปลูกข้าวโพดที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่วิจัยในลุ่มน้ำยาว-อวน-มวบ ในตำบลป่าแลวหลวง พงษ์ ดู่พงษ์ และอวน ร้อยละ 60 หรือ 35,440 ไร่ เป็นพื้นที่ซึ่งได้มาจากการบุกรุกป่า
       
       นอกจากนี้ การเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ชัน ยังก่อให้เกิดปัญหาสังคม และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น ปัญหาอุทกภัยอันเนื่องมาจากการมีพื้นที่ป่าลดลง ปัญหาหมอกควันจากการเผาเตรียมพื้นที่ เนื่องจากที่ดอนไม่สามารถใช้วิธีไถกลบแบบพื้นที่ราบได้ และปัญหาต่อสุขภาพจากการใช้สารเคมีเกินขนาด โดยเกษตรกรส่วนใหญ่มองว่า ที่ดอนต้องใช้ยาฆ่าหญ้ามากกว่าปริมาณปลอดภัยที่ระบุบนฉลาก
       
       อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ จากการวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานธุรกิจข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในจังหวัดน่าน คณะวิจัยพบว่า เกษตรกรรายย่อยมีอำนาจการต่อรองน้อยที่สุดในห่วงโซ่อุปทาน โดยเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดในพื้นที่ชันมีอำนาจต่อรอง และทางเลือกน้อยกว่าเกษตรกรที่ปลูกในพื้นที่ราบ เพราะผลผลิตที่ได้คุณภาพด้อยกว่า แต่ต้นทุนในการผลิตกลับสูงกว่า ดังนั้น เพียงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายสำคัญที่มีอำนาจในการต่อรองสูงหันมาให้ความ สำคัญต่อการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ก็มีโอกาสที่จะช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นได้ ดังตัวอย่างการใช้ “มาตรฐานการรับซื้อที่ยั่งยืน” ในต่างประเทศ ซึ่งบางกรณีสามารถปรับปรุงระดับความยั่งยืน ลดผลกระทบเชิงลบจากการเพาะปลูกได้อย่างต่อเนื่อง เช่น บทเรียนจากมาตรฐาน Coffee and Farmer Equity Practices (C.A.F.E.) ของสตาร์บัคส์ และนโยบายการอนุรักษ์ป่าของ Golden Agri-Resources (GAR) ในประเทศอินโดนีเซีย
       
       จากการวิเคราะห์ข้อมูล คณะวิจัยพบว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายสำคัญที่มีอำนาจในการต่อรองสูงอันดับแรก คือ โรงงานผู้ผลิตอาหารสัตว์ เพราะเป็นผู้รับซื้อผลผลิตตัวจริงที่มีอยู่น้อยราย ซึ่งปัจจุบัน เบทาโกร และเครือซีพี เป็นผู้รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รายสำคัญจากผลผลิตทั้งหมดในพื้นที่วิจัย ด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 40% และ 28% ตามลำดับ ดังนั้น หากโรงงานผู้ผลิตอาหารสัตว์กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับความยั่งยืนเข้าไปเป็น ส่วนหนึ่งของชุดเงื่อนไขในการรับซื้อผลผลิต เช่น ห้ามเปลี่ยนป่าไม้เป็นพื้นที่การเกษตร ห้ามใช้สารเคมีเกษตรในระยะเกิน 5 เมตร จากแหล่งน้ำถาวร ก็จะเป็นแนวทางแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่มีศักยภาพ
       
       นอกจากโรงงานอาหารสัตว์แล้ว ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกรายที่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเกษตรกรได้ คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เนื่องจากเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รายใหญ่ใน จังหวัดน่าน โดย ธ.ก.ส. ควรพิจารณาเรื่องความเหมาะสมของพื้นที่การเพาะปลูกของเกษตรกรที่ขอกู้เงิน เช่น เกษตรกรต้องมีเอกสารสิทธิมาแสดงในการขอรับสินเชื่อตามนโยบายที่กำหนดไว้ แทนที่จะกำหนดแต่เฉพาะเงื่อนไขที่ไม่เกี่ยวข้องต่อความเหมาะสมของพื้นที่ เพาะปลูก เช่น ใช้เพียงบุคคล 5 คน มาค้ำประกันเงินกู้แบบกลุ่มก็กู้ได้ ดังที่ใช้จริงอยู่ในขณะนี้
       
       อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือกันหลายภาคส่วน ไม่ต่างจากการขับเคลื่อนไปสู่ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ในธุรกิจอื่น นอกจากผู้เล่นรายใหญ่จะสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทนำในการกำหนดมาตรฐานการรับ ซื้อ หรือปล่อยกู้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สร้าง “ซีเอสอาร์” ที่ยั่งยืนกว่าการทำกิจกรรมซีเอสอาร์แบบครั้งเดียวจบ ผู้เล่นก็ควรให้เวลาที่เพียงพอ และอุดหนุนทรัพยากรแก่เกษตรกรรายย่อยในการปรับตัว เพื่อไม่ให้พวกเขาประสบปัญหาทางการเงินมากกว่าเดิม มิฉะนั้น อาจกลายเป็นว่า ความยั่งยืนและการฟื้นฟูระบบนิเวศต้อง “แลก” มาด้วยฐานะทางเศรษฐกิจที่แย่ลง


ไร่รักษ์ไม้,Eosgear,มูลไส้เดือน,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,victorinox,แปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,servival Kit,ราคา,อร่อย

Tags : เปิดงานวิจัย 2 ฉบับ ฉายภาพหายนะ จากป่าต้นน้ำถึงท้องทะเลไทย ใครคือตัวการ

view