จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
อย่างในการเดินทางออกไปต่างประเทศนั้น การได้ชิมอาหารท้องถิ่น หรืออาหารที่หาชิมได้ในประเทศนั้นๆ ก็เป็นการเปิดหูเปิดตา เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ และได้ชิมอาหารรสชาติที่แตกต่างจากที่เราเคยกินกันอยู่ในทุกวัน ซึ่งการลองชิมอาหารใหม่ๆ นี้ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มรสชาติและสีสันให้กับการเดินทางของเรา และยิ่งทำให้เราได้สัมผัสความเป็นตัวตนของชาตินั้นๆ อีกด้วย สำหรับใครที่ได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์ หรือ “เมืองลอดช่อง” เพื่อน บ้านอาเซียนของเรา ลองไปชิมอาหารที่มีความหลากหลายของเขาดู เพราะที่สิงคโปร์เป็นสถานที่รวมเอาคนหลากหลายเชื่อชาติ ความเชื่อ และศาสนาเข้าด้วยกัน จึงทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรม และอาหารการกินนั้น มีความผสมผสานกันอย่างกลมกลืน มาถึงอาหารเมนูเด็ดที่จะแนะนำให้ไปลองลิ้มชิมรสเมื่อไปเยือนสิงคโปร์ ซึ่งจากการสอบถามข้อมูลจากการท่องเที่ยวสิงคโปร์ และไกด์นำเที่ยวที่จัดทัวร์พาคนไทยไปเที่ยวสิงคโปร์ ได้ข้อสรุปว่า 5 เมนูเด็ดยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทยเมื่อมาเที่ยวสิงคโปร์ มีดังนี้ |
||||
“Chicken Rice” หรือ “ข้าวมันไก่” เรียก ว่าเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์ เพราะว่าเป็นอาหารที่รสชาติดี และหากินได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นตามฟู้ดคอร์ททั่วไป หรือจะเป็นร้านอาหารต่างๆ ก็มักจะมีเมนูนี้ให้เลือกลิ้มลองกัน ความแตกต่างระหว่างข้าวมันไก่ที่สิงคโปร์กับข้าวมันไก่ที่เมืองไทย ก็คือ ข้าวมันไก่ที่สิงคโปร์จะมีรสชาติคล้ายๆ กันทุกร้าน ส่วนที่เมืองไทยนั้นแต่ละร้านก็จะมีข้าวมัน เนื้อไก่ หรือน้ำจิ้มที่รสชาติแตกต่างกันไป ซึ่งข้าวมันไก่ของสิงคโปร์นั้นสันนิษฐานกันว่าได้รับสูตรการปรุงมาจากชาวจีน มณฑลไหหลำ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในสิงคโปร์ และได้นำเคล็ดลับการทำข้าวมันไก่แบบนี้มาเผยแพร่ด้วย เอกลักษณ์ของข้าวมันไก่สิงคโปร์ จะเริ่มจากข้าวมันที่เป็นเม็ดเรียงสวย แห้ง แต่นุ่ม หอม และไม่มันมาก ไม่มีน้ำมันเยิ้มๆ มากวนใจ เคี้ยวกินเฉพาะข้าวมันจะได้รสชาติเค็มนิดๆ มีกลิ่นหอม ส่วนเนื้อไก่ในข้าวมันไก่นั้น จะมีความนุ่ม ฉ่ำ อนู่ในเนื้อไก่ ส่วนหนังจะกรอบนิดๆ โดยเวลาเสิร์ฟนั้นจะมีน้ำราดมาบนเนื้อไก่ด้วย น้ำราดนั้นก็จะเป็นน้ำซุปที่เหลือจากการต้มไก่ นำมาปรุงรสอีกเล็กน้อย อีกส่วนหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวมันไก่สิงคโปร์มากๆ ก็คือ น้ำจิ้ม ที่จะเสิร์ฟมาพร้อมกัน 3 อย่าง ก็คือ น้ำจิ้มซีอิ้วดำ (แบบไม่หวาน) น้ำจิ้มขิงผสมต้นหอมปั่นรวมกัน ออกรสชาติเผ็ดขิงหอมๆ และน้ำจิ้มเปรี้ยว เป็นพริกและกระเทียมปั่นรวมกับน้ำส้มสายชู ที่ปรุงมาแบบไม่เปรี้ยวมากนัก |
||||
นอกจากนี้ยังมีร้านอร่อยอีกหลายร้านที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมไปกิน กัน อาทิ ร้าน Boon Tong Kee ที่มีอยู่หลายสาขา ร้าน Chatter Box ที่ Mandarin Orchard ร้าน Sin Kee Famous Chicken Rice ร้าน Pow Sing Restaurant เป็นต้น Bak Kut Teh “Bak Kut Teh” หรือ “บักกุดเต๋” (หรือ ที่คนไทยเรียกว่าบ๊ะกุ๊ดเต๋) แปลว่า ซุปกระดูกหมู เป็นอีกหนึ่งเมนูจานเด็ดของสิงคโปร์ เมนูนี้ก็ถูกสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ใน สิงคโปร์เช่นเดียวกัน เพราะลักษณะของเมนูนี้ก็คือ ซุปกระดูกหมูที่ผ่านการต้มเคี่ยวกับเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆ จนเนื้อหมูเปื่อยนุ่ม บักกุดเต๋ของแต่ละร้านนั้น จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือ เป็นซุปกระดูกหมู ที่ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจานอื่นๆ มากินคู่เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นผัดผักน้ำมันหอย ข้าวสวยร้อนๆ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ปาท่องโก๋ทอดหั่นเป็นชิ้นๆ ที่นำมาจุ่มน้ำซุปบักกุดเต๋กินคู่กัน รสชาติของบักกุดเต๋ก็คล้ายกับซุปเครื่องยาจีนทั่วไป คือ มีความหอมเครื่องยาจีน น้ำซุปรสชาติกลมกล่อมกำลังดี กระดูกหมูเปื่อยนุ่ม โดยจะเสิร์ฟคู่กับพริกชี้ฟ้าซอยมาในถ้วยน้ำจิ้ม และมีน้ำจิ้มใส่โหลให้ตักเติมเองที่โต๊ะคือ ซีอิ้วดำ (ไม่หวาน) และน้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยว ที่ทำจากพริก+กระเทียมปั่นกับน้ำส้มสายชู ถ้าจะให้อร่อยตามแบบฉบับคนไทย ก็ต้องซดน้ำซุปร้อนๆ ที่สามารถเติมได้ไม่อั้น แล้วก็หยิบกระดูกหมูมาจิ้มกินกับซีอิ้วดำผสมน้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยว กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยอย่าบอกใคร ส่วนร้านบักกุดเต๋อร่อยๆ ที่แนะนำให้ไปลองชิมก็มีหลายร้าน อาทิ ร้าน Songfa Bak Kut Teh ร้าน Founder Bak Kut Teh ร้าน Ng Ah Sio Pork Ribs Soup Eating House เป็นต้น |
||||
“Kaya Toast” (คายา โทสต์) เมนูนี้ถ้าเป็นที่บ้านเราก็คงจะเรียกขนมปังสังขยา แต่ขนมปังสังขยาของสิงคโปร์จะเป็นขนมปังกรอบๆ ไม่ใช่ขนมปังปิ้งหรืออบนุ่มๆ แบบบ้านเรา ความจริงแล้ว “Kaya Toast” นั้นเป็นเมนูอาหารเช้า แต่ปัจจุบันนี้ก็สามารถหากินได้ทั้งวันแล้ว ซึ่งร้านเด่นร้านดังที่คนนิยมไปกินกันก็คือ “Yakun Kaya Toast” ที่มีร้านดั้งเดิมอยู่ที่ย่าน China Town และยังมีสาขาให้เลือกไปอีกหลายที่ ลักษณะของ Kaya Toast เป็นขนมปังแผ่นไม่หนามากนัก นำไปอบจนกรอบทั่วกัน ทาด้วยสังขยาสูตรเฉพาะของสิงคโปร์ ที่กินแล้วมีรสชาติหวานเข้มข้นกว่าของไทย ทาสังขยาลงบนขนมปังเพียงบางๆ โปะทับด้วยเนยเค็มเล็กน้อย ที่จะช่วยไปตัดรสชาติความหวานแหลมของสังขยา ประกบทับด้วยขนมปังกรอบอีกแผ่น ทั้งหมดนี้กัดเข้าไปพร้อมกับ ได้ลิ้มรสชาติของขนมปังกรอบๆ ที่มีสังขยาหวานๆ ผสมกับความหอมมันเค็มของเนย ซึ่งนอกจากจะสั่ง Kaya Toast มากินเปล่าๆ แล้ว ยังมีแบบเป็นเซตให้เลือกด้วย ก็คือ Kaya Toast 1 ชุด เสิร์ฟพร้อมไข่ลวก 2 ปอง และ กาแฟร้อนหรือชาร้อน โดยไข่ลวกจะกินคู่กับซอสถั่วเหลืองรสชาติเค็มนิดๆ และมีพริกไทยป่นให้โรยหน้า นอกจากที่ร้าน Yakun Kaya Toast แล้วยังมีอีกหลายร้านที่แนะนำให้ไปลองชิมอีก เช่น ร้าน Killiney Kopitiam ร้าน Good Morning Nanyang Café ร้าน Chin Mee Chin Confectionery ร้าน Tong Ah Eating House |
||||
“Chilli Crab” หรือ “ปูผัดพริก” เป็นเมนูอาหารซีฟู้ดอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวมักจะไปเลือกลิ้มลองเมื่อไปเยือนสิงคโปร์ ซึ่งเมนูปูผัดพริกนั้นแบ่งเป็น ปูผัดพริกสีแดงๆ และปูผัดพริกไทยดำ โดยจะมีให้เลือกทั้งแบบปูยักษ์ คือปูทะเลจากศรีลังกา น้ำหนักตัวละประมาณ 1 กิโลกรัม และมีปูอลาสก้า น้ำหนักตัวละประมาณ 2.5 กิโลกรัม สำหรับปูผัดพริกสีแดงๆ ที่นิยมสั่งมาชิมกันนั้น เป็นการนำปูไปผัดกับเครื่องเทศและปรุงรสออกมาให้ออกหวานๆ เผ็ด มีความเค็มความมันผสมอยู่ด้วย เข้ากันดีกับความหวานสดแน่นของเนื้อปู ซึ่งที่เนื้อปูเนื้อหวานแน่นได้ขนาดนี้ก็เพราะเขาใช้ปูเป็นๆ มาปรุง วิธีการกินนั้นแม้ทางร้านจะมีเครื่องมือช่วยบีบช่วยแกะมาให้ แต่ก็ต้องอาศัยมือของคนกินในการแกะเนื้อปูเป็นหลัก สั่งปูผัดพริกมากินแล้ว ก็ต้องมีของที่กินคู่กันตามมาด้วย นอกจากจะกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ให้อิ่มท้องแล้ว ก็ควรจะสั่งหมั่นโถวนึ่ง หรือ หมั่นโถวทอด มาจิ้มน้ำซอสปูผัดพริกกินไปด้วยกัน ส่วนร้านที่มีปูผัดพริกให้ลองชิมก็มีตามร้านขายอาหารซีฟู้ดทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในย่านท่องเที่ยว อาทิ ร้าน Jumbo Seafood Restaurant ร้าน No SignBoard Seafood ร้าน Quayside Seafood ร้าน Red House Seafood ร้าน Wah Hoe Seafood ร้าน Chen Fu Ji เป็นต้น |
||||
“Cendol” (เซนดอล) หรือ ลอดช่องสิงคโปร์ของแท้ที่หากินได้ในสิงคโปร์(ลอดช่องสิงคโปร์ที่เรียกขานใน บ้านเราไม่ได้มีที่มาจากสิงคโปร์ แต่มาจากร้านที่ขายหน้าโรงหนังสิงคโปร์ ย่านเยาวราช) เซนดอล มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับลอดช่องไทย (ลอดช่องน้ำกะทิ) เป็นขนมหวานๆ เย็นๆ ที่ใส่กะทิ ตัวเส้นลอดช่องทำจากแป้งและใบเตย ใส่ถั่วแดงเพิ่มลงไป ใส่น้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็น โรยหน้าด้วยน้ำตาลทรายแดงเคี่ยวจนข้น ชิมแล้วรสชาติก็คล้ายกันกับลอดช่องน้ำกะทิของไทย แต่ตัวเส้นแข็งกว่า กะทิก็ไม่หอมมันเท่ากับลอดช่องไทย แต่จะมีกลิ่นหอมและรสชาติหวานๆ จากน้ำตาลทรายแดงเข้ามาเพิ่ม เรียกว่าเป็นของหวานเย็นกินแก้ร้อนได้เป็นอย่างดี แต่นอกจากอาหารทั้ง 5 เมนู ที่แนะนำไปแล้วนั้น สิงคโปร์ยังมีอาหารอีกหลากหลายเมนูที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง หากใครได้มีโอกาสไปเยือนสิงคโปร์ ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปลิ้มลองของอร่อยประจำถิ่น |
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต