สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

พบ สมีโล้นพลชัย โผล่ทำเนียบฯ นั่งแถลงข่าวหน้าตาเฉย คณะสงฆ์ปราจีนขีดเส้นตายไปให้พ้น วัดเจ้าเงาะ

พบ “สมีโล้นพลชัย” โผล่ทำเนียบฯ นั่งแถลงข่าวหน้าตาเฉย คณะสงฆ์ปราจีนขีดเส้นตายไปให้พ้น “วัดเจ้าเงาะ”

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ปราจีนบุรี - คณะสงฆ์ปราจีนบุรีขีดเส้นตาย "สมีโล้นพลชัย" หอบข้าวของออกจาก "วัดเจ้าเงาะ"หลังเจ้าคณะภาค 12 "เจ้าคุณเสนาะ" ยืนยันไม่ได้มอบหมายให้เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ และไฟเขียวให้คณะสงฆ์ปราจีนบุรีจัดการได้ตามอำนาจหน้าที่ แฉหลังกลับมาบวชใหม่ "สมีโล้น" ยังมีพฤติกรรมแสวงหาเหมือนเดิม พบเดินเข้าออกทำเนียบฯ นั่งถ่ายรูป ร่วมกับ "ยิ่งลักษณ์" ขณะเข้าเฝ้าพระผู้ใหญ่ต่างประเทศหน้าตาเฉย จี้ "พศ."ฟัน 3 คดี "แต่งกายเลียนแบบสงฆ์-มีเอกสารและใช้เอกสารปลอม-ต้มตุ่นหลอกลวง"


       วันนี้ (10 ก.ย.) พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวถึงกรณีที่พระมหาพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกกองปราบปรามบุกจับกุมคาชุดนายทหารยศ “พันเอก” ขณะขับรถยนต์หรูพาสีกาสาวไปนอนภายในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และถูกจับสึกเพราะต้องอาบัติปาราชิก เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 และได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร โดยมาอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เมื่อปี 2553 และได้พยายามที่จะยึดทรัพย์สมบัติ รวมทั้งที่ดินของวัดหลังจากพระครูวิเศษพัฒนคุณ (เที่ยง โฉมเฉลา) ผู้ก่อตั้งวัดได้มรณภาพลงเมื่อปี 2554

       โดยพระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า การที่พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร จะให้ทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรีรับเข้าเป็นพระในสังกัด และแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข โดยที่ทางพระมหา ดร.พลชัย มอบหมายให้ทางทนายความไปยื่นคำขอร้องต่อศาลให้แต่งตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าอาวาส และเป็นผู้จัดการมรดกของหลวงปู่เที่ยง นั้น ขณะนี้ทางเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบลในพื้นที่รับผิดชอบ กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่าจะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป เนื่องจากทราบประวัติของพระมหา ดร.พลชัย มาว่าเคยถูกจับสึกมาก่อน

       ส่วนการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข นั้น คงจะแต่งตั้งยังไม่ได้ เพราะทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรียังไม่ได้มีการรับ พระมหา ดร.พลชัย เข้าเป้็นพระในสังกัดวัดสันติวิเศษสุข

       เมื่อถามว่าท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หลังจากพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่ได้มีคำสั่ง หรือมอบหมายให้พระมหา ดร.พลชัย เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ และทางคณะจังหวัดปราจีนบุรี มีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการกับ พระมหา ดร.พลชัย ได้ทันที พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี ตอบว่า ขณะนี้ทางคณะสงฆ์กำลังปรึกษากันอยู่ และทางเจ้าคณะอำเภอ และตำบลก็กำลังดำเนินการอยู่

ด้านแหล่งข่าวจากคณะสงฆ์ในจังหวัดปราจีนบุรี เปิดเผยว่า หลังจากพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 ได้ออกมายืนยันว่าไม่ได้มีคำสั่ง หรือมอบหมายให้พระมหา ดร.พลชัย เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ และทางคณะจังหวัดปราจีนบุรีมีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการกับ พระมหา ดร.พลชัย ได้ทันที ทางพระคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรี โดยเฉพาะทางเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอ ได้มีความเห็นในเบื้องต้นว่าจะให้เวลา พระมหา ดร.พลชัย ในการย้ายออกจากพื้นที่ แต่ถ้าหากยังคงดื้อดึงที่จะยังอยู่ในวัดเจ้าเงาะ ต่อไป ก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพระมหา ดร.พลชัย

**โผล่ทำเนียบฯ-ถ่ายรูปกับ"ยิ่งลักษณ์"

       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพฤติกรรมของพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร หลังจากแอบกลับมาบวชใหม่ก็ได้ข้าไปอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ โดยตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข หลังจากนั้น ก็ได้กลับมาใช้พฤติกรรมเดิมๆ ในการหลอกลวงพระสงฆ์ไปธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะที่ประเทศอินเดียแล้วปล่อยทิ้งไว้ที่ประเทศอินเดีย รวมทั้งมีพฤติกรรมหลอกลวงสาธุชนที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพื่อแสวงหาผล ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การเช่าเวลาสถานีวิทยุออกอากาศเชิญชวนญาติโยมให้ไปทำบุญสร้างโบสถ์ วิหาร ห้องน้ำ ศาลาการเปรียญ และกุฏิสำหรับปฏิบัติธรรม รวมทั้งเชิญชวนไปทำสะเดาะเคราะห์ทุกวันเสาร์ที่วัดเจ้าเงาะ

       โดยมีการออกอากาศอยู่ 4 สถานีด้วย ใช้ชื่อรายการ “ธุงคงค์วัตร” คือ
       1.สถานีวิทยุยานเเกราะ AM540 เวลา 20.00-00.30 น. กรุงเทพฯ
       2.สถานีวิทยุสวนมิสกวัน AM 1053 เวลา 16.00-18.00 น. กรุงเทพฯ
       3.สถานีวิทยุเสียงจากค่ายจักรพงษ์ AM 855 เวลา 04.00-05.00 น. ปราจีนบุรี
       4.สถานีวิทยุกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์เวลา 17.00-18.00 น.ปราจีนบุรี

       โดยเสียค่าเช่าเวลาทั้งหมด 4 สถานี เป็นเงิน 190,000 บาทต่อเดือน เฉพาะสถานีวิทยุยานเเกราะกับสวนมิสกวัน 2 สถานีแพงสุด ร่วม 160,000 บาทต่อเดือน ส่วนที่ปราจีนบุรีทั้ง 2 สถานี รวม 30,000 บาทต่อเดือน ร่วมทั้งหมด 190,000 บาทต่อเดือน

       นอกจากนี้ พระมหา ดร.พลชัย หลังจากกลับมาบวชใหม่ก้ยังเดินลอยหน้าลอยตาไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย โดยที่ทางพระผู้ใหญ่ และสำนักพระพุทธศาสนาไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งที่ๆ รู้ว่า พระมหา ดร.พลชัย เคยถูกจับสึกมาแล้วเมื่อปี 2543 อีกทั้งยังพบว่า พระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ยังเดินเข้าออกทำเนียบรัฐบาล นั่งฉันอาหารร่วมกับพระผู้ใหญ่อย่างเปิดเผยด้วย

โดยเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2556 พบเห็นพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร ในฐานะประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) พร้อมพระมหา ดร.วิชัย ปุญญกาโม ประธานสงฆ์วัดขุนจันทร์ ได้เป็นตัวแทนคณะสงฆ์ประเทศไทย พร้อมผู้นำเครือข่ายองค์กรชาวนา และภาคประชาสังคมได้ไปนั่งร่วมกันแถลงข่าวที่ตึกนารีสโสมร ทำเนียบรัฐบาลว่า หลังจากได้หารือกับนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐนตรี ได้มีความเห็นดำเนินโครงการเจริญพระพุทธมนต์เพื่อสร้างความสมานฉันท์ และเป็นสิริมงคลแก่ประเทศไทย ในวันที่ 26 มิ.ย.56 ระหว่างเวลา 14.22-15.22 น.ที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร

อีกทั้งยังพบว่าช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ากราบนัมสการสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา พระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ก็ได้นั่งอยู่ในที่นั้นด้วย โดยภาพดังกล่าวพระมหา ดร.พลชัย ได้มีการใส่กรอบตั้งโชว์ไว้ภายในวัดเจ้าเงาะ เพื่อโชว์ให้ผู้ที่มาทำบุญได้เห็นถึงบารมีของตนเอง

ตอนถูกจับกุมเมื่อปี 2543 และกลับมาบวชใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น "พลชัย อุ่นทรัพย์"

       **จี้ พศ.ฟัน 3 ข้อหา “สมีโล้นพลชัย”
       
       แหล่งข่าวจากอดีตพระวินยาธิการ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบชัดเจนแล้วว่า ที่พระพลชัย ถาวโร การแอบอ้างว่าเป็น “พระมหา ดร.” นั้น ความจริงแล้วไม่ได้เป็น “มหา” แต่อย่างใด โดยมีการพิมพ์ชื่อตนเองลงในหนังสือสวดมนต์เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีศรัทธา หลงเชื่อว่าตนเองเป็นพระมหา เท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นมหา หรือเคยไปสอบเรียนได้มหาเปรียญที่วัดไหนมาก่อน ซึ่งคำว่า “พระมหา” ผู้ที่ได้มาจะต้องสอบได้เปรียญธรรม 3-4 ประโยคขึ้นไป และจะต้องได้รับพระราชทาน ดังนั้น การแอบอ้างในลักษณะดังกล่าวจึงเข้าข่ายผิดกฎหมายชัดเจน
       
       ส่วนคำว่า “ด็อกเตอร์” นั้นจากการตรวจสอบแล้วก็ไม่เคยพบว่าได้ไปเรียน หรือได้รับเกียรติบัตรให้เป็น ด็อกเตอร์ จากที่ไหน และมหาวิทยาลัยใดมาก่อน ซึ่งก็เข้าข่ายผิดกฎหมายต้มตุ๋นหลอกลวงให้คนหลงเชื่อเช่นกัน
       
       รวมทั้งการถือหนังสุทธิ 2 เล่ม ซึ่งมีการกรอกรายละเอียดข้อมูลสลับกันไปมาระหว่างเล่มเก่ากับเล่มใหม่ กล่าวคือ มีการเอาข้อมูลการบวชพระครั้งแรก เมื่อปี 2520 มาเขียนลงในหนังสือสุทธิเล่มใหม่ที่เพิ่งจะมีการนำมาใช้เมื่อช่วงหลังปี 2540 เป็นต้นมา แล้วเอาข้อมูลการบวชใหม่ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2545 ไปกรอกลงในหนังสือสุทธิแบบเก่า และ 1 ใน 2 เล่มนี้ก็มีการระบุชื่อว่า “พระมหาพลชัย ถาวโร” ขณะที่อีกเล่มระบุชื่อ “พระพลชัย ถาวโร” โดยมีการกรอกชื่อคำว่า “พลชัย” นี้ลงในหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มตั้งแต่มีการบวชเป็นสามเณร เมื่อปี 2517 จนบวชเป็นพระครั้งแรกเมื่อปี 2520 จนกระทั่งบวชเป็นพระครั้งที่ 2 เมื่อปี 2545
       
       แต่จากการตรวจสอบพบว่า “สมีพลชัย” นี้เพิ่งจะมีการเปลี่ยนชื่อใหม่จาก “วันชัย อุ่นทรัพย์ (ถาวโร)” เป็น “พลชัย อุ่นทรัพย์ (ถาวโร)” เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 ไม่กี่ปีมานี้เอง ดังนั้น เท่ากับว่า สมีพลชัย นี้ใช้เอกสารปลอมมาโดยตลอด
       
       “เอกสารชัดเจนขนาดนี้แล้วทางสำนักพระพุทธศาสนา (พศ.) ยังจะมาบอกว่ายังไม่มีข้อมูลหลักฐาน และยังจะต้องไปควานหาข้อมูลหลักฐานอยู่อีกหรือ ที่ผ่านมา สำนักพระพุทธศาสนาลอยตัวอยู่เหนือปัญหา และมักจะดองเรื่องมาโดยตลอด โดยไม่ทำอะรเลย แถมยังปล่อยให้คนชั่วที่ไม่ได้เป็นพระแล้วกลับมาทำตนเป็นพระหลอกลวงญาติโยม ผู้มีจิตศรัทธาอยู่อีกได้อย่างไร และที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้วว่า พระพลชัย หรือวันชัย ไม่ใช่พระแล้ว และเมื่อกลับมาบวชใหม่ก็เห็นนั่งร่วมวงฉันข้าวกับพระผู้ใหญ่หน้าตาเฉย แถมพระผู้ใหญ่เองก็รู้อยุ่แก่ใจแต่กลับนิ่งเฉยไปด้วย”
       
       แหล่งข่าวจากอดีตพระวินยาธิการ กล่าวอีกว่า ถ้าสำนักพระพุทธศาสนายังเป็นชาวพุทธที่แท้จริงอยู่ ก็ควรที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ และควรที่จะดำเนินคดีต่อคนนี้ 1.ฐานมีเอกสารและใช้เอกสารปลอม 2.แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และ 3.ต้มตุ่นหลอกลวงและฉ้อโกง
       
       ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร ว่า ขณะนี้มีหลายฝ่ายกังวลว่าหากพระมหาพลชัย ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแล้วจะนำทรัพย์สินของวัดไปหมดนั้น ขอยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ เพราะทรัพย์สินต้องตกเป็นของวัด พร้อมกันนี้จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการวัดเข้ามาบริหาร ไม่สามารถนำทรัพย์สินไปเป็นของส่วนตัวได้
       
       ส่วนพระมหาพลชัย จะได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี ที่จะเป็นผู้พิจารณา
       
       ทางด้านพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 12 นั้น พระพรหมสุธี กล่าวกรณีที่พระมหาพลชัย อ้างว่าสนิทกับเจ้าคณะภาค 12 ว่า รู้จักพระมหาพลชัย แต่เป็นการรู้จักแบบรู้จักคนทั่วๆ ไปเท่านั้น ไม่มีความสนิทเป็นพิเศษ


เจ้าคุณเสนาะ” ไม่อุ้ม “สมีโล้นพลชัย” ชี้คณะสงฆ์ปราจีนฯ มีอำนาจฟันได้เลย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ปราจีนบุรี - “เจ้าคุณเสนาะ” พระพรหมสุธี เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศ ยันไม่ได้มอบหมาย หรือสั่งการให้ “พระพลชัย” เข้าไปดูแล “วัดเจ้าเงาะ” ชี้เป็นอำนาจของคณะสงฆ์ปราจีนบุรี เจ้าคณะจังหวัดสามารถดำเนินการได้เลย ด้าน “ผอ.พศ.” สั่ง จนท.ประสานกองปราบฯ ฝ่ายปกครองสงฆ์คุ้ยหลักฐานฟัน ขณะที่กองปราบฯ ตรวจสอบพบสำนักพุทธฯ ดองเรื่องแต่งชุด “พันเอก” ขับรถหรูพาสีกาไปเสพเมถุนจนถูกจับสึกแล้วมาบวชใหม่ที่ปราจีนบุรี แฉพฤติกรรมไม่ต่าง “เณรคำ”
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีพระมหาพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกกองปราบปรามบุกจับกุมคาชุด “พันเอก” ขณะขับรถยนต์หรูพาสีกาสาวไปนอนภายในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และถูกจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 หลังจากนั้นได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่อีกครั้ง โดยล่าสุด พบปรากฏตัวอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร และพยายามที่จะยึดทรัพย์สิน รวมทั้งที่ดินของวัดเจ้าเงาะ หลังจากพระครูวิเศษพัฒนคุณ (เที่ยง โฉมเฉลา) ผู้ก่อตั้งวัดได้มรณภาพลงเมื่อปี 2554 โดยพระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ได้เข้ามาอยู่ที่วัดนี้เมื่อประมาณปี 2553 ก่อนที่หลวงปู่เที่ยง จะมรณภาพเพียงปีเดียวว่า ล่าสุด พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร ที่ได้ตั้งตนขึ้นเป็นประธานฝ่ายสงฆ์อยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข ยังยืนยันที่จะไม่ออกไปจากวัดเจ้าเงาะ
       
       ทั้งนี้ ที่ผ่านมา พระมหา ดร.พลชัย ได้อ้างว่าสนิทกับพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ และพระพรหมสุธี ได้สั่งการ และมอบหมายให้เข้ามาดูแลวัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี จากข้ออ้างดังกล่าวทำให้คณะสงฆ์ในจังหวัดปราจีนบุรี ไม่กล้าที่จะเข้าไปดำเนินการใดๆ รวมทั้งการตรวจสอบทรัพย์สินภายในวัดที่หลวงปู่เที่ยง ได้สร้างไว้ให้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา
       
       อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เมื่อเย็นวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสัมภาษณ์ พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ถึงกรณีที่พระมหา ดร.พลชัย ถาวดร ได้แอบอ้างว่ารู้จัก และสนิทกับพระพรหมสุธี และได้รับคำสั่งมอบหมายให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะว่าจริงหรือไม่
       
        ทั้งนี้ พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง พร้อมกล่าวว่า “อาตมา ไม่ได้มีคำสั่ง หรือมอบหมายให้พระพลชัย ถาวโร เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ เรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรี ที่จะต้องเข้าไปดำเนินการตามลำดับขั้นตอนตั้งแต่เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ จนมาถึงเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี และอาตมาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งการใดๆ ลงไปยังคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรีให้เข้าไปดำเนินการ ซึ่งทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรีสามารถที่จะดำเนินการเองได้เลยตามอำนาจ หน้าที่ที่มีอยู่”
       
       เมื่อถามว่าท่านรู้จักกับพระมหา ดร.พลชัย หรือไม่ เจ้าคณะภาค 12 กล่าวว่า “รู้จัก แต่ไม่ได้สั่งการ หรือมอบหมายให้พระพลชัย เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ”
       
       ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประสานขอข้อมูลกับทางกองปราบฯกรณีที่พระ มหา ดร.พลชัย ถาวโร เสพเมถุนกับสีกา และถูกจับสึกเมื่อปี 43 ขณะที่แต่งกายเลียนแบบนายทหารยศ “พันเอก” คารถยนต์หรูขณะที่พาสีกาไปกกในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี แล้ว
       
       รวมทั้งให้ประสานขอข้อมูลจากฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ด้วย เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา แต่เบื้องต้นถ้าพระอาบัติปาราชิกแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะกลับมาบวชเป็นพระได้อีก แต่ทั้งนี้ต้องรอให้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลความชัดเจนเสียก่อน รวมทั้งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเรื่องที่พระพลชัย แอบอ้างว่าเป็น “พระมหา” ด้วย ซึ่งถ้าพบหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า มีการแอบอ้างว่าเป็น “พระมหา” ทั้งๆ ที่ตนเองไม่ได้เป็น “พระมหา” จริง ก็ถือว่ามีความผิด นอกจากนี้ จะต้องตรวจสอบเรื่องที่พบว่าพระพลชัย ถือหนังสือสุทธิ 2 เล่มด้วยว่า เป็นการปลอมแปลงเอกสารหรือไม่
       
        “ถ้ามีหลักฐานชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ผมก็จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีต่อ พระพลชัย ทันที” นายนพรัตน์ กล่าว
       
       ด้าน พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ สารวัตรกองกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม (สว.กก.2 บก.ป.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอลพฤติกรรมพระพลชัย ว่า ตนได้รวบรวมหลักฐานเรื่องที่พระมหาพลชัย ถาวโร ถูกสึกเนื่องจากเสพเมถุนให้แก่สำนักพระพุทธศาสนาตรวจสอบแล้วตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค.56 จากนั้นทางสำนักพระพุทธศาสนาได้ส่งเรื่องไปยังเจ้าคณะภาค 12 และเจ้าคณะจังหวัดนครนายก ที่เจ้าตัวสังกัดอยู่ แต่เรื่องก็เงียบหายไป จากนั้นทางพนักงานสอบสวนจึงทำหนังสือทวงถามความคืบหน้าต่อทางสำนักพระพุทธ ศาสนาอีก รวมแล้ว 3 ครั้ง แต่เรื่องก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งจากการสืบสวนพระมหาพลชัย มักอ้างว่าสนิทกับข้าราชการ และพระผู้ใหญระดับสูงหลายคน ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้
       
       ส่วนเรื่องที่ถูกร้องเรียนนั้น ทางพระมหาพลชัย อ้างว่าไม่ได้ถูกดำเนินการเรื่องเสพเมถุนเพียงแต่โดนดำเนินคดีแต่งกายเลียน แบบทหารเท่านั้น นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพบว่า หลังถูกจับกุมทางสำนักพุทธศาสนาจังหวัดสุพรรณบุรี ก็ไม่ได้ตั้งกรรมการสอบ และบันทึกเรื่องเสพเมถุนของพระมหาพลชัย แต่อย่างใด ทำให้เจ้าตัวกลับมาบวชต่อ
       
        “ขณะนี้พนักงานสอบสวนไม่สามารถดำเนินการใดๆ ต่อทางพระมหาพลชัย ได้เลย เนื่องจากต้องรอให้ทางสำนักพระพุทธศาสนาตัดสินชี้ขาดก่อนว่า พระมหาพลชัย ปาราชิกหรือไม่หากไม่ปาราชิก ก็ไม่อาจดำเนินการทางกฎหมายได้ แต่หากตัดสินว่าปาราชิก ทางพนักงานสอบสวนก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 44 ผู้ใดพ้นจากความเป็นพระภิกษุเพราะต้องปาราชิกมาแล้ว ไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยตามมาตรา 25 หรือไม่ก็ตาม แต่มารับบรรพชาอุปสมบทใหม่โดยกล่าวความเท็จหรือปิดบังความจริงต่อพระ อุปัชฌาย์ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี ต่อไป”
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เส้นทางของพระมหาพลชัย คล้ายๆ กับพระเณรคำ ที่มักจัดงานหาเงินสร้างวัด ซึ่งที่ดินตรงข้ามวัดก็มีการสร้างบ้าน และมีรั้วรอบขอบชิด แถมเจ้าตัวยังห้ามไม่ให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามเข้าไปตรวจสอบ นอกจากนี้ พระมหาพลชัย ได้ยื่นโทรศัพท์มือถือให้เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ป. คุยกับปลายสายที่เขาอ้างว่าเป็นนายทหารระดับ เสธ. ขอเคลียร์ด้วย แต่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธไป อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนกองปราบปรามยังไม่ละความพยายาม ซึ่งจะได้ส่งหนังสือไปทวงถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวจากสำนักพระพุทธศาสนา อย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อต้องการรักษาศาสนาพุทธมิให้มัวหมอง เพราะบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์จากพุทธศาสนา


แฉ “เดียรถีย์โล้น” ปาราชิกแล้วบวชพระอีกไม่ได้ จี้ มส.แจ้งจับ 2 ข้อหา เปิดข้อมูลฉาวมั่วสีกาถูกจับสึกปี 43

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กันยายน 2556 14:57 น

ปราจีนบุรี  - พระผู้ใหญ่ที่เคยทำคดี และร่วมจับกุม “เดียรถีย์โล้น” ยัน “อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร” ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว จึงไม่สามารถกลับมาบวชเป็นพระได้อีก จี้มหาเถรสมาคม และสำนักพุทธฯ แจ้งความดำเนินคดีฐาน “แต่งกายเลียนแบบสงฆ์-มีเอกสาร และใช้เอกสารปลอม” เปิดข้อมูลฉาวตอนถูกกองปราบฯ บุกจับคารถหรูขณะพาสีกาไปนอนกกที่บ้านพักย่านบางบัวทอง สุดชั่วแต่งชุดนายทหารยศ “พันเอก” ทับผ้าเหลือง พอเรื่องเงียบแอบกลับมาบวชใหม่เข้ายึด “หลวงปู่เที่ยง” เจ้าตัวยันไม่ไปไหน อ้างเจ้าคณะภาค 12 “พระพรหมสุธี” สั่งให้มาดูแล “วัดเจ้าเงาะ”


       
       ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีพบพระมหาพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกเจ้าหน้าที่กองปราบปรามบุกจับกุมคาชุด “พันเอก” ขณะขับรถยนต์หรูพาสีกาสาวไปนอนภายในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และถูกจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 หลังจากนั้น ได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่อีกครั้ง โดยล่าสุด พบปรากฏตัวอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร และพยายามที่จะยึดทรัพย์สิน รวมทั้งที่ดินของวัดเจ้าเงาะ หลังจากพระครูวิเศษพัฒนคุณ (เที่ยง โฉมเฉลา) ผู้ก่อตั้งวัดได้มรณภาพลงเมื่อปี 2554 โดยพระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ได้เข้ามาอยู่ที่วัดนี้เมื่อประมาณปี 2553 ก่อนที่หลวงปู่เที่ยง จะมรณภาพเพียงปีเดียว
       
       ต่อมา วันนี้ (9 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศวัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ว่า ก่อนหน้านี้ พระครูจันทวรกิจจาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเนินดินแดง ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบ้านพระ เขต 2 ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะ ได้เข้าไปตรวจสอบภายในวัดเจ้าเงาะ พบกับ พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกกองปราบฯ บุกจับกุม และจับสึกเนื่องจากต้องอาบัติปาราชิกเมื่อปี 2543 ซึ่งหลังจากได้แอบกลับมาบวชใหม่ ก็ได้ตั้งตนขึ้นเป็นประธานฝ่ายสงฆ์อยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข ยังยืนยันที่จะไม่ออกไปจากวัดเจ้าเงาะ
       
        โดยพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) ยืนยันต่อเจ้าคณะตำบลบ้านพระ เขต 2 รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะว่า จะไม่ไปไหน เพราะได้รับมอบหมาย และคำสั่งจากพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ให้เป็นผู้มาดูแลวัดเจ้าเงาะ แห่งนี้
       
       แหล่งข่าวจากพระวินยาธิการที่เคยติดตามคดี และจับกุมอดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร กล่าวว่า ตามวินัยสงฆ์ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า หากภิกษุต้องโทษอาบัติปาราชิก 4 ข้อใดข้อหนึ่งแล้วไม่สามารถกลับมาบวชเป็นพระได้อีก ซึ่งปาราชิก 4 คือ 1.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคน หรือสัตว์) 2.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) 3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์ 4.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐอย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) ซึ่งเมื่อภิกษุต้องอาบัติแล้วจึงไม่สามารถกลับมาบวชเป้นพระได้อีก
       
       “อย่างกรณีพระมหาพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) หรืออดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพระที่โดนจับสึกเพราะสังวาสกับมาตุคาม ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว และขาดจากความเป็นพระแล้ว จะกลับมาบวชใหม่อีกไม่ได้ แต่ถ้าบวชก็ไม่ถือว่าเป็นพระ แต่ปัจจุบันวงการสงฆ์เมืองไทยมันเน่า เห็นแก่ยศถาบารมีจึงให้กลับมาเป็นนักบวชหัวโล้นใหม่ได้อีก ฉะนั้น การที่พระมหาพลชัย หรืออดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร ที่ต้องอาบัติปาราชิกอย่างชัดเจนแล้วเมื่อปี 2543 แม้กลับมาบวชใหม่อีกจึงไม่เป็นพระ ซึ่งเรื่องนี้ทางมหาเถรสมาคม สำนักพระพุทธศาสนา ไม่ควรที่จะนิ่งเฉย และสามารถที่จะแจ้งความดำเนินคดีได้ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์” แหล่งข่าวจากพระวิทยาธิการ กล่าว
       
       พร้อมเปิดเผยอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการอ้างว่าเป็น “พระมหา” นั้น จากการตรวจสอบดูแลพบว่า พระพลชัย ถาวโร ผู้นี้ไม่ได้เป็น “มหา” แต่อย่างใด และไม่ทราบว่าไปเรียนบาลี และสอบได้ที่สำนักใด และการแอบอ้างว่าเป็นพระมหา โดยนำไปเขียนลงในหนังสือ หรือในเอกสารใดๆ ก็ตามเพื่อให้คนเชื่อว่าตนเองเป็นพระมหา แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นพระมหา ก็เข้าข่ายในความผิดฐานมีเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ซึ่งมหาเถรสมาคม และสำนักพุทธฯ สามารถที่แจ้งความดำเนินคดีได้อีกข้อหาหนึ่ง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการถือหนังสือสุทธิ 2 เล่ม และจากการตรวจสอบก็พบว่า หนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่ม ก็อาจจะเป้นการปลอมแปลงขึ้นมาเช่นกัน ซึ่ง 1 ในจำนวน 2 เล่มนั้น มีอยู่เล่มหนึ่งใช้คำว่าพระมหานำหน้า
       
       **เปิดข้อมูลฉาวถูกบุกจับคารถหรู-กกสีกา
       
       อนึ่ง จากการตรวจสอบเรื่องราวในอดีตของพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) หรือของอดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่ถูกจับสึกจนเป็นข่าวอื่อฉาวดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 ต.ค.2543 พ.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผกก.2 ป. พ.ต.ท.ชัยทัต บุญขำ รอง ผกก.2 ป. พ.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ สว.ผ.3 กก.2 ป.พร้อมกำลังได้ติดตามความเคลื่อนไหวของพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี จากสถานปฏิบัติธรรมวัดโคนอน จ.นนทบุรี ภายหลังไปฉันเพลที่วัดดังกล่าวเนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่าพระครูธรรมธร วันชัย มีพฤติกรรมละเมิดผิดวินัยสงฆ์ เสพเมถุนอาบัติปาราชิก
       
       หลังจากเฝ้าสังเกต พระครูธรรมธรวันชัย จนฉันเสร็จได้ติดตามดูพบว่า เดินมาขึ้นรถเบนซ์ 500 เอส สีดำ ทะเบียน งห 9777 กทม. ขับออกจากวัดมุ่งไปที่บ้านเลขที่ 47/33 หมู่บ้านมิตรประชาวิลล่า ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ตำรวจจึงขับรถติดตามเฝ้าดูทุกระยะ ปรากฏว่า เมื่อถึงหน้าบ้านเลขที่ 47/33 ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นพระครูธรรมธรวันชัย เปลี่ยนจากชุดจีวรมาสวมชุดนายทหารยศ “พันเอก” และขึ้นรถเตรียมขับออกไป จึงรีบกรูมาสกัดพร้อมแจ้งให้เปิดประตู แต่พระครูธรรมธรวันชัย ไม่ยอมเปิดประตูรถกลับขับรถหนี
       
       กำลังตำรวจอีกชุดหนึ่งที่ซุ่มดักรออยู่บริเวณหน้าบ้านจึงออกมาล้อมรถ ไว้ พร้อมไปที่ประตูรถช่วยกันดึงร่างพระครูธรรมธรวันชัย ทั้งที่ยังอยู่ในชุดทหารระบุชื่อ “พ.อ.สุริยะฉัตร เผ่าบุญเสริม” สังกัดหน่วยรบพิเศษออกมาจากรถอย่างทุกลักทุเล เนื่องจากพระครูธรรมธรวันชัย ดิ้นรนขัดขวาง แต่ในที่สุดก็หมดแรงยอมให้เจ้าหน้าที่ลากตัวลงมาจากรถทั้งชุดทหารที่สวมทับ จีวรอยู่อีกชั้นหนึ่ง
       
       จากนั้นตำรวจได้เข้าตรวจค้นภายในรถ พบกระเป๋าถือเจมส์บอนด์สีดำ เมื่อเปิดดูภายในมีวิกผมและเสื้อผ้าฆราวาสจำนวนหนึ่ง ชุดวอร์มศูนย์สงครามพิเศษ 1 ชุด ชุดทหารลายพราง 1 ชุด เหล้าต่างประเทศ 1 ขวด ย่ามระบุชื่อ “วัดพระธรรมกาย” 1 ใบ หมวกเบเรต์สีแดงของศูนย์สงครามพิเศษ 1 ใบ และถุงยางอนามัย จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
       
       ต่อมา ตำรวจได้นำตัวพระครูธรรมธรวันชัย ไปตรวจค้นภายในบ้านพักขึ้นไปบนห้องนอนชั้น 2 รื้อค้นที่ตู้เสื้อผ้าพบหนังสือลามกอนาจาร 12 เล่มซุกซ่อนอยู่ และยังมีเสื้อผ้าชุดชั้นในผู้หญิงอีกหลายชิ้น รวมทั้งถุงยางอนามัยที่ยังไม่ใช้อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนการตรวจค้นห้องนอนอีกห้องหนึ่งพบวิดีโอลามก 5 ม้วน ชุดนายทหารยศ “พันเอก” มีเครื่องประดับเต็มยศ 1 ชุด ระบุชื่อ หมวกเบเรต์สีแดง 1 ใบ หมวกแบบปีก 1 ใบ จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
       
       ระหว่างถูกจับกุม พระครูธรรมธรวันชัย ยังให้การปฏิเสธตลอดว่า ยังเป็นพระอยู่ เนื่องจากยังสวมอังสะ สบง พร้อมทั้งเปิดให้ดู และมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่วิตกกังวลใดๆ ยังทักทายกับ พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง ผบก.ป.ที่มาร่วมสอบสวนปากคำในที่เกิดเหตุว่า เป็นคนบ้านเดียวกัน และพระครูธรรมธรวันชัย ยังอ้างว่า ชุดทหารที่พบไม่ได้ใส่มีไว้สำหรับบูชาพระนเรศวร แต่เจ้าหน้าที่ไม่ฟังเสียงรีบนำตัวพระครูธรรมธรวันชัย มาสอบสวนต่อที่กองปราบฯ
       
        กระทั่งเวลา 19.00 น. เมื่อมาถึงกองปราบฯ เจ้าหน้าที่นำตัวพระครูธรรมธรวันชัย ซึ่งยังคงอยู่ในชุดทหารไปสอบสวนที่ห้อง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผกก.2 ป. ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี นำเสนอข่าวเรื่องพฤติกรรมของพระครูธรรมธรวันชัย ปรากฏว่า เมื่อพระครูธรรมธรวันชัย เห็นภาพที่ทางไอทีวีนำเสนอพฤติกรรมต่างๆ ตั้งแต่ไปนั่งรับประทานอาหารกับหญิงสาวที่ร้านอาหารอีสานคลาสสิคตอนกลางคืน พาไปนอนสองต่อสองในห้องที่บ้านพักบ้าน รวมทั้งการเปลี่ยนชุดจีวรมาสวมใส่เป็นนายทหารยศ พันเอก ถึงกับยิ้มเจื่อนๆ รีบยอมรับสารภาพทันที
       
       หลังจากที่พระครูธรรมธรวันชัย จำนนต่อหลักฐาน ยอมรับสารภาพแต่โดยดีแล้วได้หัวเราะกับภาพที่ตัวเองเห็นทางไอทีวี ผู้สื่อข่าวจึงถามว่ารู้สึกอย่างไร พระครูธรรมธรวันชัย กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่อยากให้สัมภาษณ์ส่วนชุดทหารที่ใส่อยู่นั้นใช้หล่อไว้ถวายสมเด็จ พระนเรศวร โดยสวมทับจีวร สบงที่อยู่ข้างใน
       
       เมื่อถามว่า เป็นพระทำไมมาขับรถเอง พระครูธรรมธรวันชัย กล่าวว่า เป็นช่วงจังหวะที่คนขับรถไม่อยู่ และชุดทหารที่สวมใส่อยู่ก็เป็นของคนขับรถ ที่จำเป็นต้องใส่ชุดทหาร เพราะเกรงชาวบ้านจะว่า เป็นพระขับรถจึงใส่ชุดทหารเพื่ออำพราง
       
       เมื่อถามว่า จะให้การรับสารภาพหรือยัง เพราะมีหลักฐานชัด พระครูธรรมธรวันชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนตัว เหตุผลต่างๆ ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ ขอยอมรับผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวกับแต่งชุดทหาร แต่จะไปให้การสู้คดีในชั้นศาลแล้วแต่กระบวนการกฎหมาย ส่วนเรื่องที่เข้าไปนอนกับผู้หญิงนั้นไม่ขอพูดเป็นเรื่องส่วนตัว
       
       หลังจากพระครูธรรมธรวันชัย ให้สัมภาษณ์เสร็จ พ.ต.อ.ทวี ได้ให้เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาเป็นพยานพาพระครูธรรมธรวันชัย ไปยังห้องสอบสวนเพื่อทำการสึกจากความเป็นพระ โดยนำชุดกางเกงวอร์มสีดำ เสื้อสีดำเข้าไปให้อดีตพระครูธรรมธรวันชัย เปลี่ยนใส่ออกมาเป็นฆราวาสใช้ชื่อตามเดิมว่า ไนายวันชัย อุ่นทรัพย์
       
       ต่อมา นางคชาพร คำสอนทา เจ้าหน้าที่ฝ่ายสังฆการ กรมการศาสนา พร้อมเจ้าหน้าที่อีก 3 คนเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.ทวี ให้ดำเนินคดีต่อ นายวันชัย อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ในข้อหาแต่งเครื่องหมายยศทหาร โดยไม่มีสิทธิ พร้อมนำตัวไปสอบสวนต่อ โดยล่าสุดเวลา 20.30 น.ยังไม่มีญาติมาขอประกันตัว
       
        ในค่ำวันเดียวกัน สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ได้เผยแพร่พฤติกรรมของอดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถึงขั้นตอนการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นนายทหาร จากนั้นได้ขึ้นขับรถเบนซ์ไปยังหมู่บ้านมิตรประชาวิลล่า เขตบางบัวทอง จ.นนทบุรี และระหว่างทางจะแวะข้างทางเพื่อโทรศัพท์ในตู้สาธารณะก่อนกลับเข้าบ้าน เมื่อถึงบ้านได้ครู่หนึ่งจะมีหญิงสาว 2 คน เป็นวัยกลางคน คนสวมเสื้อสีขาวนำเด็กหญิงวัยรุ่นใส่กางเกงขาสั้น หุ่นดี เข้าไปในบ้าน และอยู่ด้วยกันจนถึงเช้า
       
       โดยช่วงเช้าหญิงทั้งสองได้ออกไปซื้ออาหารรับประทาน และกลับเข้าบ้านหลังเดิมและอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน กระทั่งช่วงค่ำ ทั้ง 3 คนได้นั่งรถยนต์คันเดิมโดยมีอดีตพระครูธรรมธรวันชัย แต่งกายเป็นฆราวาสขับออกไปที่ร้านอาหารอีสานคลาสสิค จ.นนทบุรี หลังรับประทานอาหารแล้วหญิงวัยกลางคนแยกตัวขึ้นรถแท็กซี่กลับไป ในขณะที่อดีตพระธรรมธรวันชัย กับหญิงวัยรุ่นนั่งรถหรูคันเดิมกลับเข้าบ้านหลังเดิม และอยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืน
       
        กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ได้แต่งกายเลียนแบบทหารบกยศ “พันเอก” ขับรถเบนซ์คันเดิมออกจากบ้านไปยังสำนักปฏิบัติธรรมวัดโคนอน จ.นนทบุรี ระหว่างทางได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นพระสงฆ์เข้าร่วมฉันอาหารเช้ากับพระ สงฆ์ในวัดโคนอน หลังจากฉันอาหารเสร็จแล้วได้นั่งรถแท็กซี่ไปยังวัดมหาธาตุยุวราษฎร์รัง สฤษฎิ์ เพื่อไปรับเงินบริจาค จากนั้นทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ได้ประสานงานกับตำรวจกองปราบปรามให้เข้าจับกุมในที่สุด


แกะรอย “สมีพลชัย” บุกยึด “วัดเจ้าเงาะ” หวังฮุบที่ดิน 100 ไร่ “หลวงปู่เที่ยง”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เผยเส้นทาง “สมีพลชัย” บุกเข้ายึด “วัดเจ้าเงาะ” หวังฮุบสมบัติของ “หลวงปู่เที่ยง” ที่ดินร่วม 100 ไร่ ที่หลวงปู่เที่ยงสร้างไว้เพื่อให้เป็นมรดกของศาสนา เจ้าตัวเผยเอง “เจ้าคณะภาค 12 พระพรหมสุธี” ที่มีความสนิทสนมกันก็เคยไปที่ “วัดเจ้าเงาะ” บ่อยครั้ง และมีโครงการที่จะให้ตนเองสร้างโบสถ์ เมรุ เจดีย์ ศาลาการเปรียญ และโรงเรียนปริยัติธรรม
       
        หลังจาก “ASTVผู้จัดการ” ได้รับร้องเรียนว่า พบพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่แต่งชุดนายทหารยศ “ผู้พัน” ขับรถยนต์หรูพาสีกาไปนอนกกที่บ้านบางบัวทอง จ.นนทบุรี จนถูกเจ้าหน้าที่กองปราบฯ บุกเข้าจับกุม และจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (พระมหานิยม ฐานิสฺสโร) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ในขณะนั้นตามจับตัว แต่ตอนนี้ “พระอลัชชีมาเฟีย” ผู้นี้ได้แอบกลับมาบวชเป็นพระใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อจาก “พระวันชัย ถาวโร” มาเป็น “พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร” นั่งฉันข้าวร่วมวงกับพระเถระผู้ใหญ่ และเข้าไปทำกิจกรรมในทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยไม่เกรงกลัวต่อความผิดที่ตนเองเคยกระทำไว้ ปัจจุบันพระอลัชชีมาเฟียผู้นี้ ได้เข้าไปอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่ปี 2553 และพยายามที่จะยึดสมบัติของวัด ซึ่งมีที่ดินร่วม 100 ไร่ และทรัพย์สินของเก่ามากมายที่พระครูวิเศษพัฒนคุณ (พ่อเที่ยง ผาสุโก) ได้บุกเบิก และก่อตั้งมา หลังจากที่หลวงปู่เที่ยง ได้มรณภาพแล้วเมื่อปี 2554
       
       ต่อมา “ทีมเฉพาะกิจ ASTVผู้จัดการ” ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบวัดเจ้าเงาะ ตั้งอยู่ที่เลขที่ 26/52 หมู่ 15 ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ในเนื้อที่ร่วม 100 ไร่ เดิมเป้นที่พักสงฆ์ “ธุดงคสถานวิเศษสุข” โดยที่ดินทั้งหมดจากการตรวจสอบหลักฐานพบว่า หลวงปู่เที่ยง เป็นผู้ซื่้้้้อไว้ทั้งหมด 12 แปลง โดยทยอยซื้อที่ละแปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ มีที่ดินฝั่งที่จัดตั้งวัดประมาณ 90 ไร่ ฝั่งตรงข้ามวัดประมาณ 5 ไร่ โดยมีพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร ตั้งตนเป็นประธานเจ้าสำนักฯ
       
       สำหรับที่พักสงฆ์ธุดงคสถานวิเศษสุข แห่งนี้เพิ่งได้รับอนุญาตให้สร้างวัดชื่อวัดสันติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2555 โดยหลวงปู่เที่ยง เป็นผู้บุกเบิก หลังจากได้จากวัดบางแตน ต.บางตอน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดเพื่อเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ทั่วเมืองไทย ด้วยจิตใจศรัทธาในพระพุทธศาสนาจวบจนกระทั่งหลวงปู่เที่ยง ได้มาพบสถานที่แห่งนี้ใน จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะในการปฏิบัติธรรมจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน และตั้งใจพัฒนาสถานที่แห่งนี้ขึ้นเป็นธรรมสถาน และต้องการให้เป็นวัดประจำพื้นที่หมู่ 15 ต.บ้านพระ อ.เมืองปราจีนบุรี
       
       โดยหลวงปู่เที่ยง ได้มอบหมายให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดนายปัญญา บำรุงวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านพระ อ.เมืองปราจีนบุรี เป็นผู้ดำเนินการเดินเรื่องขอจัดตั้งเป็นวัดบนเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ ส่วนที่เหลือหลวงปู่เที่ยง ปรารถนาที่จะให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมมรดกของศาสนา
       
       เมื่อหลวงปู่เที่ยง มรณภาพเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2554 ทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรี จึงได้แต่งตั้งพระครูจันทวรกิจจาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเนินดินแดง และเจ้าคณะตำบลบ้านพระ เขต 2 อ.เมืองปราจีนบุรี ขึ้นรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข
       
       **“สมีพลชัย” ยึด “สมบัติ-ที่ดินวัดเจ้าเงาะ”
       
       หลังจากนั้นความวุ่นวายภายในวัดนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อ “พระมหา ดร.พลชัย” ผู้ที่เคยถูกกองปราบฯ บุกเข้าจับกุม และจับสึกเนื่องจากต้องอาบัติปาราชิก เมื่อปี 2543 และได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่เพิ่งจะเข้ามาอยู่วัดเจ้าเงาะ เมื่อปี 2553 ได้ตั้งตนขึ้นเป็นประธานฝ่ายสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) เพื่อยึดวัดแห่งนี้และพยายามที่จะ “ฮุบ” ทั้งที่ดิน และทรัพย์สินของวัดมาเป็นของตนเองทั้งหมด โดยอ้างว่า “ได้รับมรดกและหลวงปู่เที่ยงได้ทำพินัยกรรมให้แก่ตนเป็นผู้ดูแล”
       
       พร้อมกับอ้างว่า ได้รับหนังสือมอบหมายอำนาจจากพระครูโกศลถาวรกิจ เจ้าอาวาสวัดบางแตน ต.บางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปรารีนบุรี ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดของหลวงปู่เที่ยง ให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลและทรัพย์สินวัดสันติเศษสุข พร้อมกับโวยวายไปยังเจ้าคณะตำบลบ้านพระ ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุขว่า “เหตุใดจึงไม่รับตนเข้าสังกัด และแต่งตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะ”
       
       จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า สาเหตุที่เจ้าคณะตำบลบ้านพระ ไม่รับพระพลชัย เข้าสังกัดและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะ เพราะได้ตรวจสอบพบว่า พระพลชัย หรือพระวันชัย ผู้นี้เคยตกเป็นข่าวฮื้อฉาว และเคยถูกจับสึกมาแล้วเมื่อปี 2543 ซึ่งทางคณะสงฆ์ใน จ.ปราจีนบุรี ก็ได้มีการตรวจสอบพบหลักฐานอย่างชัดเจนแล้วว่า “พระพลชัย หรือพระวันชัย” นั้นเป็นคนเดียวกัน หลังถูกจับสึกแล้วได้กลับแอบมาบวชใหม่ อีกทั้งยังถือหนังสือสุทธิ 2 เล่ม และจากการตรวจสอบหนังสือสิทธิทั้ง 2 เล่มก็เข้าข่ายเป็น “เอกสารปลอม”
       
       นอกจากนี้ พระพลชัย มักจะอ้างว่า รู้จัก และสนิทสนมกับพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศฯ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับคำสั่งและมอบหมายจากพระพรหมสุธี ให้เข้ามาดูแลสถานที่วัดเจ้าเงาะแห่งนี้ และพระพรหมสุธี ก็เคยเดินทางมาที่วัดเจ้าเงาะนี้หลายครั้ง
       
       ครั้งหนึ่งทางคณะสงฆ์ จ.ปราจีนบุรี และวัดต้นสังกัด คือ วัดบางแตน พร้อมเจ้าคณะตำบลบ้านพระ ได้เข้าไปที่วัดเจ้าเงาะ เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมด แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ เนื่องจากพระพลชัย ไม่ยอมให้มีการเข้าตรวจสอบทรัพย์สิน และเคยมีการเข้าไปสอบสวนและประวัติของพระพลชัย ถึงเรื่องอื้อฉาวที่เคยถูกดำเนินคดี จนตัวเองต้องหลบหนีหายหน้าไปร่วม 10 ปี แล้วมาโผล่ที่วัดเจ้าเงาะว่า ช่วงนั้นไปอยู่ที่ใด และมาอยู่ที่วัดเจ้าเงาะได้อย่างไร
       
       แทนที่พระพลชัย จะชี้แจงและยอมรับความจริง แต่กลับโวยวายและแสดงอำนาจบารมีของตนเองขึ้นมา โดยอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากเจ้าคณะภาค 12 พร้อมกับกดหมายเลขโทรศัพท์ถึงพระพรหมสุธี ให้คณะสงฆ์ที่เข้าไปสอบสวนดู แล้วส่งโทรศัพท์ให้คณะพระที่เข้าไปสอบสวนพูดสายกับพระพรหมสุธี ด้วย แต่ไม่มีใครพูด หลังจากนั้นพระพลชัย ก็มักจะอ้างชื่อพระผู้ใหญ่องค์นี้อยู่ตลอดจนคณะสงฆ์ใน จ.ปราจีนบุรี ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
       
       **ผุดโครงการหรูตบตาชาวพุทธหวังดูดทรัพย์
       
       แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทรัพย์สินภายในวัดที่หลวงปู่เที่ยง ได้สะสมเอาไว้ตั้งแต่เข้ามาอยู่ใหม่ๆ ซึ่งเป็นของเก่าทั้งพระพุทธรูป ตู้ไม้สัก โต๊ะ เก้าอี้ไม้ ขณะนี้ได้เริ่มสูญหายไปบ้างแล้ว โดยทรัพย์สินทั้งหมดนี้หลวงปู่เที่ยง จะเก็บเรียงไว้ที่บนศาลาชั้น 2 ซึ่งที่ผ่านมา ประชาชนที่ไปทำบุญที่วัดนี้ สามารถเข้าไปกราบไหว้ และชมได้อย่างเปิดเผย แต่พอหลังจากหลวงปู่เที่ยงมรณภาพแล้วประตูศาลาก็มักจะถูกปิดตาย หากใครจะเข้าไปต้องได้รับอนุญาตก่อน
       
       ส่วนที่ดินทั้งหมด 12 แปลง ที่หลวงปู่เที่ยง ทยอยซื้อไว้เพื่อสร้างวัด และสถานปฏิบัติธรรมนั้นพบว่า โฉนดที่ดินหายไป 2 โฉนด ส่วนที่เหลือ 10 โฉนดอยู่ในความดูแลของวันต้นสังกัด คือ วัดบางแตน ต.บางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ส่วนที่หายไป 2 โฉนดนั้นทางวัดต้นสังกัดได้ทำเรื่องแจ้งหายเพื่อขอออกโฉนดฉบับใหม่แล้ว แต่ขณะนี้ทางที่ดินจังหวัดยังไม่ได้มีการออกโฉนดใหม่ให้แต่อย่างใด เนื่องจากถูกทางฝ่ายตรงกันข้ามคัดค้าน
       
        สำหรับที่ดิน 5 ไร่ ที่อยู่ตรงข้ามกับวัดเจ้าเงาะ จากการตรวจสอบพบว่า เดิมหลวงปู่เที่ยง ได้ซื่อไว้กับโยมท่านหนึ่ง แต่ยังจ่ายเงินไม่ครบ และท่านได้มรณภาพไปก่อน เมื่อพระพลชัย เข้าไปอยู่ก็ได้เอาโฉนดที่ดินดังกล่าวมาเป็นของตน โดยอ้างว่าเป็นผู้ซื้อมาเองเมื่อช่วงปี 2554 ในราคา 5,500,000 บาท
       
        ส่วนที่ดินฝั่งที่อยู่วัดประมาณ 90 ไร่ นั้นครั้งแรกพระพลชัย บอกว่าเดิมที่ดินฝั่งนี้มีประมาณ 80 กว่าไร่ แต่ตนมาซื้อเพิ่มอีก 8 ไร่ ในราคา 9,000,000 บาท แต่พอถูกถามว่าไปเอาเงินมาจากไหน พระพลชัย ก็รีบบ่ายเบี่ยงพูดใหม่ว่า “ที่ดินทั้งหมดฝั่งวัดนี้ 90 ไร่นี้หลวงปู่เที่ยง เป็นผู้สื่อไว้ทั้งหมด โดยซื้อมาด้วยเงินของหลวงปู่เที่ยง ที่ได้รับริจาค และการจัดสร้างและจำหน่ายวัตถุมงคล “เจ้าเงาะมหาลาภ” โดยตอนซื้อหลวงปู่ เอาเงินใส่กล่องกระดาษมาเลย 30 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินทั้งหมด"
       
       สำหรับที่ดินประมาณ 90 ไร่นี้ พระพลชัย อ้างว่า นอก จากพระพรหมสุธี เจ้าคณะภาค 12 มีโครงการที่จะให้สร้าง 1.พระอุโบสถ์ 2.โรงเรียนปริยัติธรรม 3.วิหาร หรือศาลาการเปรียญ 4.พระเจดีย์ และ 5.เมรุ แล้ว ยังมีโครงการจะให้ก่อสร้างห้องกุฏิวิปัสสนา 40 ห้อง งบประมาณห้องละ 50,000 บาท ซึ่งตอนนี้มีเจ้าภาพสร้างแล้วกว่า 30 ห้อง เหลืออีกประมาณ 10 ห้อง ยังไม่มีเจ้าภาพ ห้องน้ำ-ห้องสุขา 40 ห้อง ห้องละ 15,000 บาท ในส่วนนี้มีเจ้าภาพเกินแล้ว และกำแพงวัดอีก 150 ช่อง ช่องละ 5,000 บาทขณะนี้ยังมีเจ้าภาพไม่มากด้วย
       
       จากการตรวจสอบทั้งเรื่องที่พระพลชัยอ้างว่า ได้รับมรดก และพินัยกรรมจากหลวงปู่เที่ยง ให้เป็นผู้บริหารจัดการเรื่องที่ดินและทรัพย์สินทั้งหมดภายในวัดเจ้าเงาะ และอ้างว่ามีความสนิทสนมกับพระพรหมสุธี ซึ่งได้มอบหมายให้มาดูแลวัดเจ้าเงาะ ตลอดจนมีการก่อสร้างโครงการหรูต่างๆ ขึ้นมานั้นเป็นการแอบอ้างทั้งสิ้น ซึ่งมีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างไปจาก “ไอ้คำ” นายวิรพล สุขผล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ที่อวดอ้างตนเป็นพระอริยะ และอุปโลกน์เรื่องราวขึ้นมาต้มตุ่นหลวงสาธุชนแต่อย่างใด
       
       **ศิษย์ยัน “ปู่เที่ยง” ไม่ได้ยกที่ดินให้เดียรถีย์
       
       โดยเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2556 ทางวัดบางแตน ต.บางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดของหลวงปู่เที่ยง ได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมกับแนบเอกสารโฉนดที่ดินหลวงปู่เที่ยง รวม 10 แปลง (หาย 2 แปลง) โดยยืนยันว่า “หลวงปู่เที่ยง สังกัดอยู่วัดบางแตน หลังจากได้มรณภาพลงแล้วไม่ได้ปลงบริขารทำพินัยกรรมไว้แต่อย่างใด”
       
       นายธวัฒน์ แท่นทอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เรื่องพระพลชัย หรือพระวันชัย เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะสงฆ์ที่จะเข้าไปดำเนินการกันเอง แต่จากการตรวจสอบประวัติพบว่า เคยถูกจับสึกมาแล้วเพราะต้องอาบัติปาราชิก เมื่อปี 2543 แล้วกลับมาบวชเป็นพระใหม่
       
       สำหรับเรื่องที่ดินของวัดเจ้าเงาะ หรือวัดใดก็ตามที่ไม่ใช่วัดเจ้าเงาะ ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า เมื่อพระสงฆ์ที่ซื้อที่ดินไว้มรณภาพลง ที่ดินทั้งหมดจะต้องตกเป็นสมบัติของวัดต้นสังกัด จะตกเป็นของผู้หนึ่งผู้ใดไม่ได้ และหลวงปู่เที่ยง มีต้นสังกัดอยู่ที่วัดบางแตน ดังนั้น เมื่อหลวงปู่เที่ยง มรณภาพลง ที่ดิน และทรัพย์สินทั้งหมดในวัดเจ้าเงาะ ก็จะต้องตกเป็นสมบัติของวัดต้นสังกัดทันทีคือ วัดบางแตน
       
       “ยกเว้นแต่จะมีการทำพินัยกรรมยกมรดกไว้ให้แก่ใครหรือไม่ แต่เบื้องต้นทราบว่า หลวงปู่เที่ยง ไม่ได้ทำพินัยกรรมยกมรดกไว้ให้แก่ผู้ใด ดังนั้น ทางวัดบางแตน จึงมีสิทธิเต็มที่ที่จะเข้าไปตรวจสอบ ดำเนินการ และดูแลทรัพย์สินภายในวัดเจ้าเงาะ ทั้งหมด” นายธวัฒน์ กล่าว
       
       ด้านนายปัญญา บำรุงวัด นายกเทศมนตรีตำบลบ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่เที่ยง ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการขออนุญาตสร้างวัดสันติวิเศษสุข หรือเจ้าเงาะ เปิดเผยว่า ตอนที่หลวงปู่ ยังไม่มรณภาพจะมีคนมาทำบุญกันมากไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดจะมากเป็นพิเศษ และชาวบ้านในย่านนี้ก็จะเข้าวัดไปทำบุญกับหลวงปู่ ตลอด แต่หลังจากที่หลวงปู่มรณภาพ และมีพระองค์ใหม่เข้ามา ทราบว่าเคยถูกจับสึกมาก่อนและมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมก็เห็นมีชาวบ้านไปทำ บุญที่วัดกันอีกเลย จะมีก็น้อยมากต่างจากคราวที่หลวงปู่ยังไม่มรณภาพหน้ามือเป็นหลังมือ
       
       “ผมเป็นคนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ ให้เป็นผู้ดำเนินการทำเรื่องขออนุญาตจัดสร้างวัดเองในเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ จนได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นวัดเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ส่วนที่ดินทั้งหมดนั้นหลวงปู่ จะทยอยซื้อจากชาวบ้านที่ต้องการจะขายให้แก่วัดทีละแปลง มากบ้างน้อยบ้างท่านจะซื้อมาเรื่อย ซึ่งได้ซื้อในคราวเดียวกันทั้งหมดแต่อย่างใด ส่วนที่มีการบอกว่าหลวงปู่ ทำพินัยกรรมยกให้แก่คนใดคนหนึ่งนั้น ยืนยันครับว่าไม่มีแน่นอน ถ้ามีผมก็ถือว่า คนที่รับพินัยกรรมนั้นเลวสุดๆ เพราะที่ดินทั้งหมดหลวงปุ่ ต้องการที่จะสร้างให้เป็นวัดประจำพื้นที่ และเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมประจำตำบล ซึ่งหลวงปู่ได้ตั้งปณิธานไว้อย่างนี้ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลวงปู่จะทำพินัยกรรมให้แก่ใครคนใดคนหนึ่งเพื่อเป้ นประโยชน์ของตนเอง”
       
       พระครูโกศลถาวรกิจ เจ้าอาวาววัดบางแตน วัดต้นสังกัดหลวงปู่เที่ยง เปิดเผยว่า ทางวัดไม่ได้ปรารถนาเอาดินวัดเจ้าเงาะ ทั้งหมดมาเป็นของวัดแต่อย่างใด แต่เมื่อหลวงปู่เที่ยง มรณภาพแล้วก็ตกเป็นหน้าที่ของทางวัดต้นสังกัดต้องเข้าไปดำเนินการ ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อความถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ทางวัดต้นสังกัดก็พร้อมที่จะยกที่ดินทั้งหมดให้เป็นสมบัติของวัดที่ดูแลอยู่ ในพื้นที่ต่อไป
       
        ส่วนที่มีการบอกว่า หลวงปู่เที่ยง ทำพินัยกรรมยกให้แก่ใครคนใดคนหนึ่งนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง และก่อนที่หลวงปูเที่ยง จะมรณภาพท่านก็ได้บอกแก่พระทางวัดตอนที่อยู่โรงพยาบาลไว้แล้วว่า ให้ดำเนินการให้เป็นของสงฆ์ทั้งหมด เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสาธุชนต่อไป


ชำแหละประวัติชั่ว “สมีพลชัย” แก๊งปลอมลายพระหัตถ์-ภาวนาพุทโธ-ชักปืนขู่พระผู้ใหญ่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เปิดประวัติฉาว “สมีพลชัย” พบสร้างความชั่วมาเกือบตลอดชีวิต ปาราชิกซ้ำซาก ชักปืนขู่พระผู้ใหญ่ ร่วมปลอมลายพระหัตถ์รักษาการสมเด็จพระสังฆราช “อาจ อาสโภ” ขาย “สมณศักดิ์ปลอม” ให้แก่พระผู้ปรารถนา “ลาภ ยศ สรรเสริญ” จนเกิด “พระครูปลอม” เกลื่อนประเทศ และเป็นแก๊ง “ภาวนาพุทโธ” ก่อนถูกจับสึกปี 43 หนีระเหเร่ร่อนไปทั่วเมืองไทยก่อนกลับมาบวชอีกครั้งเปลี่ยนชื่อเป็น “พระมหา ดร.พลชัย”
       
       หลังจาก “ASTVผู้จัดการ” ได้รับร้องเรียนว่า พบพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่แต่งชุดนายทหารยศ “ผู้พัน” ขับรถยนต์หรูพาสีกาไปนอนกกที่บ้านบางบัวทอง จ.นนทบุรี จนถูกเจ้าหน้าที่กองปราบฯ บุกเข้าจับกุมและจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (พระมหานิยม ฐานิสฺสโร) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ในขณะนั้นตามจับตัว
       
       แต่ตอนนี้ “อลัชชีมาเฟีย” ผู้นี้ได้แอบกลับมาบวชเป็นพระใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อจาก “พระวันชัย ถาวโร” มาเป็น “พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร” นั่งฉันข้าวร่วมวงกับพระเถระผู้ใหญ่ และเข้าไปทำกิจกรรมในทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยไม่เกรงกลัวต่อความผิดที่ตนเองเคยกระทำไว้ ปัจจุบัน พระอลัชชีมาเฟียผู้นี้ ได้เข้าไปอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่ปี 2553 และพยายามที่จะยึดสมบัติของวัด ซึ่งมีที่ดินร่วม 100 ไร่ และทรัพย์สินของเก่ามากมายที่พระครูวิเศษพัฒนคุณ (พ่อเที่ยง ผาสุโก) ได้บุกเบิก และก่อตั้งมา หลังจากที่หลวงปู่เที่ยง ได้มรณภาพแล้วเมื่อปี 2554
       
       จากการตรวจสอบตามประวัติของ “ทีมเฉพาะกิจASTVผู้จัดการ” พบว่า นายวันชัย หรือนายพลชัย อุ่นทรัพย์ หรือพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร คนนี้เคยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เมื่อปี 2517 ขณะนั้นอายุได้ 17 ปี
       
       พออายุ 20 ปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบทเป็นพระได้รับฉายาว่า “ถาวโร” อยู่ที่วัดท่าช้าง สังกัดมหานิกาย โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2520 พระครูไพโรจน์ธรรมคุณ (หลวงพ่อสุบิน) เจ้าอาวาสวัดหัวเขา ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
       
       หลังบวชเป็นพระได้ไม่นานก็ได้ไปฝากตัวของเป็นศิษย์กับหลวงพ่อสัง วาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม ต.หนองผักนาก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี โดยอ้างว่าเพื่อปฏิบัติธรรม แต่ต่อมากลับปฏิบัติตนไม่เหมาะสมในความเป็นสมณเพศ
       
        ต่อมา ในขณะปฏิบัติธรรมอยู่บนศาลาได้รู้จักกับแม่ชีองค์หนึ่งที่มาปฏิบัติธรรมด้วย กัน โดยระหว่างปฏิบัติธรรมอยู่บนศาลา แม่ชี อ้างว่าปวดท้องจึงขอออกไปเข้าห้องน้ำ และ “อลัชชี” คนนี้ได้เดินตามออกไปโดยทั้ง 2 คนหายไปประมาณ 1 ชั่วโมงจึงกลับเข้ามา ต่อมา หลวงพ่อสังวาลย์ ทราบถึงพฤติกรรมจึงไล่ออกจากสำนัก และสั่งสำนักสาขาต่างๆ ห้ามรับเข้าสังกัดเด็ดขาด
       
       หลังจากนั้น “อลัชชี” รายนี้ก็หายหน้าไปได้ระยะหนึ่งโดยไม่มีใครทราบว่าไปหลบซ่อนตัว หรือฟอกตัวเองอยู่ที่ไหน ขณะที่บางกระแสบอกว่าถูกจับสึกไปแล้ว
       
       แต่จู่ๆ ราวปี 2528 “อลัชชี” รายนี้ก็โผล่หน้าปรากฏในวงการสงฆ์อีกครั้ง โดยได้เข้าไปอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
       
       เมื่อไปอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ได้ไม่นาน ด้วยความเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี เข้ากับคนได้ง่าย พูดจาน่าเชื่อ จึงทำให้มีพรรคพวก และเพื่อนมากขึ้น จนกระทั่งได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มคณะพระเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) สมเด็จพระราชาคณะ เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนว่า “อลัชชี” รายนี้เคยถูกหลวงพ่อสังวาลย์ ไล่พ้นจากสำนักอันเนื่องมาจากการปฏิบัติตนไม่เหมาะสมในความเป็นสมณเพศมาก่อน
       
        หลังจากได้เข้าไปทำงานอยู่ในกลุ่มคณะพระเลขาฯ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ได้ไม่นานลายก็ออกอีก คราวนี้มีการร่วมมือกับพระพรรคพวกในกลุ่มพระเลขาฯ ซึ่งในขณะนั้น นายสมศักดิ์ พรรัตนสมบูรณ์ หรือ “สมีเจี๊ยบ” หรือ “โล้นคาเฟ่” อดีตพระครูสมุห์สรศักดิ์ เป็นเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์อยู่ โดยร่วมกันปลอมแปลงลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) เพื่อออกใบ “สมณศักดิ์” และขายใบ “สมณศักดิ์” ให้แก่พระ หรือเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ที่ต้องการจะเลื่อนสมณศักดิ์ จนเกิดเป็นข่าวเกรียวกราวตามสื่อต่างๆ เมื่อราวปี 2530-2531 หลังจากมีการตรวจสอบพบว่าใบสมณศักดิ์ ของพระหลายรูปที่ได้เลื่อนชั้นเป็น “พระครู” นั้นเป็นของปลอม จนทำให้เกิดมี “พระครู” ปลอมเกิดขึ้นมากมายทั่วประเทศ
       
       จนกระทั่งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้เข้าไปตรวจสอบพบความจริง และมีการจับกุมดำเนินคดี และจับสึกไปหลายราย โดยเฉพาะ นายสมศักดิ์ พรรัตนสมบูรณ์ หรือสมีเจี๊ยบ โล้นคาเฟ่ อดีตพระครูสมุห์สรศักดิ์ และอดีตเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ก็ถูกจับสึกด้วย และมีการตรวจสอบด้วยว่า “สมีเจี๊ยบ” ได้พาสีกามามั่วสุมถึงภายในกุฏิวัดด้วย ส่วน “อลัชชี” รายนี้ได้อาศัยความชำนาญเอาตัวรอดหลบหนีไปอีก และไม่มีใครทราบว่าหลบไปกบดานอยู่ที่ไหน
       
       **จัดธุดงค์หลอกลวงพระ-ญาติโยม
       
       หลังจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) อาพาธด้วยโรคหัวใจล้มเหลว และถึงแก่มรณภาพอย่างสงบเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2532 และเรื่องคดีปลอมแปลงลายพระหัตถ์ขาย “ใบสมณศักดิ์” ให้แก่ “พระครูปลอม” เริ่มเงียบลงตามนิสัยคนไทยที่มักลืมง่าย “อลัชชี” รายนี้ก็โผล่หน้าปรากฏขึ้นอีกครั้งที่วัดมหาธาตุฯ ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้พฤติกรรมเก่าๆ เปลี่ยนไปจากเดิมแต่กลับหนักขึ้นกว่าเก่าอีก
       
       จากประสบการณ์เลว-ชั่วที่สะสมมาตั้งแต่สมัยเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงพ่อสังวาลย์ แต่กลับปฏิบัติตนไม่เหมาะสมในความเป็นสมณเพศกับแม่ชี จนถูกหลวงพ่อสังวาลย์ ไล่ออกมาและร่วมกันปลอมแปลงลายพระหัตถ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ขาย “ใบสมณศักดิ์ปลอม” ให้แก่พระสงฆ์ผู้ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ จึงทำให้ “อลัชชี” รายนี้มีช่องทางทำมาหากินด้วยการต้มตุ๋น หลอกลวงได้ถนัดมากขึ้น โดยไม่เกรงกลัวต่อบาป และนรกอเวจี
       
        โดยคราวนี้ได้ยกตนเองขึ้นเป็นพระระดับแกนนำร่วมกลุ่มกับพระในแก๊งที่เคยคบ หาสมาคมกันมา และร่วมกับสีกาบางกลุ่มบางคนวางแผนจัดทำโครงการธุรกิจพาณิชย์หารายได้เข้า ย่ามกันอย่างไม่ละอายต่อบาป มีการจัดทำธุรกิจนำพระไปเดินธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ และนำพระไปเข้าปริวาสกรรมตามสถานที่ต่างๆ
       
       จากนั้นได้มีการประชาสัมพันธ์ตามรูปแบบที่ถนัด เชิญชวนให้ญาติโยมผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา หวังจะได้บุญไปสวรรค์ นิพพาน ได้ร่วมกันควักกระเป๋านำสตางค์ถวายให้มากบ้างน้อยบ้างตามแต่กำลังศรัทธา โดยมีการอุปโลกน์ตัวเลขจำนวนพระสงฆ์ที่ไปธุดงค์ และอยู่ปริวาสกรรมให้ดูมากๆ ยิ่งขึ้นเพื่อเรียกศรัทธานำเงินออกจากกระเป๋าญาติโยม
       
       เช่น ถ้ามีการนำพระไปเดินธุดงค์ยังต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ประเทศอินเดีย โดยเชิญชวนให้ญาติโยมร่วมกันบริจาคเป็นค่ารถ ค่าเครื่องบินไปกลับให้แก่พระประมาณ 20 รูป แก๊ง “อลัชชี” กลุ่มนี้ก็จะอุปโลกน์ตัวเลขขึ้นไปว่ามีพระประมาณ 50-60 รูป หรือหากมีญาติโยมบริจาคให้ครบแล้วตามจำนวนที่แก๊งนี้เชิญชวนก็จะบอกว่าได้ ยังไม่ครบ ซึ่งคนที่หลงเชื่อก็จะบริจาคเงินเข้าไปอย่างต่อเนื่อง แต่พอไปถึงประเทศอินเดียแล้วก็จะปล่อยให้พระสงฆ์เหล่านั้นอยู่ตามยถากรรม และเดินทางกลับเอง
       
       นอกจากนี้ “อลัชชี” แก๊งนี้ยังจะทำหน้าที่เป็น “นายหน้า” ประกาศเชิญชวนญาติโยมให้ร่วมกันทำบุญด้วยการบริจาคเงินซื้อ “กลด” อ้างว่าเพื่อนำไปถวายให้แก่พระที่ไม่มีกลด โดยให้สีกานางหนึ่งซื้อเล่นว่า “สีกาเจี๊ยบ” เปิดร้านขายกลดให้แก่ญาติโยมอยู่ที่บริเวณวงเวียนใหญ่ กรุงเทพฯ เมื่อโยมซื้อกลด และนำไปถวายพระแล้วก็จะเอากลดนั้นเวียนเทียนกลับมาให้ “สีกาเจี๊ยบ” ขายอีก และบอกว่าพระยังได้กลดไม่ครบ เมื่อได้เงินแล้วก็จะนำเข้าย่ามตนเอง
       
        “ครั้งหนึ่งอลัชชีกลุ่มนี้ได้เคยไปนิมนต์พระ และสามเณรจากเชียงตุง ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในรัฐฉานของประเทศพม่า ตั้งอยูในทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน และจากลาว จากเวียดนาม มาร่วมเดินธุดงค์ในประเทศไทยด้วย โดยมีการจัดทำอย่างใหญ่โต เพื่อเรียกแรงศรัทธาจากญาติโยมให้นำเงินมาบริจาค จนได้เงินจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็มีการลอยแพพระและสามเณรเหล่านั้นให้อยู่ตามยถากรรม และหาเงินกลับภูมิลำเนากันเอง"
       
       **เคยชักปืนขู่พระผู้ใหญ่ก่อนโดนไล่
       
       “อลัชชี” กลุ่มนี้ได้ทำมาหากินในลักษณะเช่นนี้อยู่ประมาณ 4-5 ปี จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาอีก กระทั่งถูกพระผู้ใหญ่ในวัดมหาธาตุฯ รูปหนึ่งเรียกพระวันชัย หรือพลชัย ไปว่ากล่าวตักเตือนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระวันชัย เลิกพฤติกรรม “ชั่ว” ใช้ศาสนาบังหน้าหากินแต่อย่างใด จนกระทั่งวันหนึ่งพระผู้ใหญ่องค์เดิมทนไม่ไหว และได้เรียกไปว่ากล่าวตักเตือนอีก แต่พระวันชัย กลับไม่เชื่อฟัง และได้แสดงพฤติกรรม “อิทธิพลเถื่อน” ออกมาทั้งๆ ที่ยังอยู่ในผ้าเหลือง ด้วยการชักปืนออกจากย่ามแล้วไปวางบนตักพระผู้ใหญ่รูปนั้น
       
       แต่ในที่สุดความชั่วของพระวันชัย ก็พ่ายแพ้ต่อความดี เมื่อพระทางวัดได้มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมพระวันชัย แต่ด้วยความชำนาญในการหลบหนีมาหลายครั้งแล้ว ก็ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมพระวันชัย ได้อีกเช่นเคย
       
       พระวันชัย หลบหนีไปได้ระยะหนึ่งก็โผล่มาอีก คราวนี้ไปโผล่ที่ “วัดท่าช้าง” ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่บ้านเกิดของตนเองในตำแหน่ง “เจ้าอาวาส” โดยมีสมณศักดิ์เป็น “พระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร”
       
       เมื่อพระวันชัย หรือพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร ได้มาเป็นใหญ่อยู่ที่วัดท่าช้างได้ไม่นานลายสัตว์เลี้อยคลานก็โผล่ออกมาอีก มีทั้งการมั่วสุมภายในวัด ปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับความเป็นสมณเพศ จนชาวบ้านรอบวัด และในพื้นที่ ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช ทนต่อพฤติกรรมไม่ไหวและได้พยายามรวมตัวกันต่อต้านมาตลอด แต่ชาวบ้านก็ถูกข่มขู่
       
       แม้จะเคยนำเรื่องไปร้องเรียนต่อพระผู้ใหญ่มาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่เรื่องก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง เกี่ยวด้วย เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของพระวันชัย จึงทำให้พระวันชัย หรือพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร มีอำนาจ และอิทธิพลขยายวงกว้างมากขึ้น
       
       **เคยถูกจับสึกต้อง “ปาราชิก” เมื่อปี 43
       
        กระทั่งเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 พระวันชัย ก็ถูกเจ้าหน้าที่กองปราบปรามนำโดย พ.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผกก.2 ป. พ.ต.ท.ชัยทัต บุญขำ รอง ผกก.2 ป. และ พ.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ สว.ผ.3 กก.2 ป. (ยศในขณะนั้น) นำกำลังบุกเข้าจับกุมได้ขณะที่สวมชุดนายทหารยศ “พันเอก” หน่วยรบพิเศษทับจีวรเอาไว้ขณะขับรถเบนซ์คันหรูไปกกสีกาสาว หลังจากเจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนว่า “พระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร” มีพฤติกรรมละเมิดผิดวินัยสงฆ์ เสพเมถุนอาบัติปาราชิก และถูกจับสึกวันเดียวกัน
       
       ต่อมา ศาลชั้นต้นได้ตัดสินจำคุก 6 เดือนไม่รอการลงอาญานายวันชัย เพราะศาลเห็นว่าเคยเป็นพระสงฆ์ระดับพระสังฆาธิการ หรือข้าราชการสงฆ์ที่ย่อมทราบดีถึงความถูกความผิด ความควรหรือไม่ควรอย่างไร จะเห็นได้ว่าพระรูปนี้สามารถหลอกลวงญาติโยม ได้เงินทองไปเป็นจำนวนมหาศาล แล้วนำไปใช้จ่ายอย่างไม่เป็นบุญเลย เมื่อโดนจับสึกไม่ทราบว่าได้เงินทองเข้าของญาติโยมบริจาคติดตัวไปป้องกัน ความชั่วของตนเองเท่าไร
       
        หลังจากนั้น นายวันชัย ก็ได้หายตัวไปอีกโดยไม่มีใครทราบว่าไปกบดานอยู่ที่ใด แต่มีคนพบเห็นนายวันชัย ไปโผล่อยู่ที่วัดหลักสาม หรือวัดอาทิตย์จันทราราม ซอยเพชรเกษม 81 เขตหนองแขม กรุงเทพฯ โดยมี “พระครูสุวิธานวิหารกิจ” เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งมีความสนิทสนมกับนายวันชัย มาก่อน
       
       **แอบบวชไหม่เปลี่ยนชื่อเป็น “พลชัย”
       
       จนกระทั่งมีการตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2545 นายวันชัย ได้ไปอุปสมบทเป็นพระอีกครั้งทางภาคอีสานที่ “วัดมหาชัย” ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม โดยใช้ชื่อ “พระพลชัย” ได้รับฉายา “ถาวโร” มีพระเทพวุฒาจารย์ (สินธุ์ เขมิโก) เจ้าอาวาสวัดมหาชัย และเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิชัยสารกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านนาควิชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม ในขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมี “พระครูสุวิธานวิหารกิจ” เจ้าอาวาสวัดหลักสาม ที่พานายวันชัย หลบหนีไปกบดานอยู่ด้วยหลังถูกจับสึก และมีความสนิทสนมกับนายวันชัย ตามไปเป็น “พระอนุสาวนาจารย์” อย่างน่าผิดสังเกต
       
       หลังอุปสมบทแล้ว พระพลชัย ก็เข้าไปอยู่ในสังกัดวัดนาควิชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม ต่อมาได้ทำเรื่องย้ายสังกัดไปอยู่ที่ “วัดธรรมปัญญา” ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2552 โดยมีพระปลัดสายัณห์ สุวัณโณ เป็นเจ้าอาวาส
       
       จากนั้นปี 2553 พระพลชัย ได้ไปโผล่แบบเปิดหน้าตนเองเต็มๆ อีกครั้งที่พักสงฆ์ “ธุดงคสถานวิเศษสุข” ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี หรือวัดสันติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นวัดที่ “พระครูวิเศษพัฒนคุณ” หรือหลวงปู่เที่ยง ผาสุโก เป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้ง โดยขณะนั้นหลวงปู่เที่ยง ยังมีชีวิตอยู่ และหลวงปู่เที่ยง ได้มรณภาพลงในปี 2554 เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น
       
        เมื่อไปอยู่วัดเจ้าเงาะ หลังหลวงปู่เที่ยงมรณภาพลง พระพลชัย ก็ได้ทำการฟอกตัวเองอีกครั้งด้วยการยกตนเองขึ้นเป็นประธานเจ้าสำนักเจ้าเงาะ พร้อมกับใช้ชื่อเต็มยศว่า “พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร” โดยที่ไม่มีใครทราบมาก่อนเลยว่าเคยได้ไปเรียนบาลี สอบได้มหาเปรียญที่วัดใด และได้ “ด็อกเตอร์” มาจากมหาวิทยาลัยใด
       
       จากการตรวจสอบพบว่า ก่อนที่พระพลชัย จะไปอยู่ที่วัดเจ้าเงาะ ทราบว่าได้ไปอยู่กับพระครูสุวิธานวิหารกิจ ที่หลักสาม ซอยเพชรเกษม 81 เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร มาก่อน แต่เนื่องจากพระครูสุวิธานวิหารกิจ ทราบพฤติกรรมเพื่อนเก่าอย่างดี หากปล่อยให้อยู่ภายในวัดหลักสามต่อไปอาจจะนำความเสี่ยมเสียมาถึงตน และวัดได้ จึงวางแผนผลักออกให้พ้นจากวัด ด้วยการนำไปฝากไว้กับหลวงปู่เที่ยง ที่วัดเจ้าเงาะ โดยบอกกลับหลวงปู่เที่ยงว่า “พระพลชัย จะมาช่วยพัฒนาวัดให้มีความเจริญ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความสามารถ” ซึ่งหลวงปู่เที่ยง ก็รับไว้โดยที่ไม่เคยทราบประวัติ และพฤติกรรมของพระพลชัย ผู้เลวร้ายรายนี้มาก่อนแต่อย่างใด
       
       กระทั่งหลวงปู่เที่ยง มรณภาพเมื่อปี 2554 พระพลชัย จึงวางแผนยึดวัดอย่างเบ็ดเสร็จโดยอ้างว่า “ได้รับมรดกและพินัยกรรมจากหลวงปู่เที่ยง ให้ดูแลวัด และทรัพย์สินทั้งหมด”
       
       **โดน “สมเด็จพระมหาธีราจารย์” ไล่ล่า
       
        ครั้งหนึ่ง...หลังจากที่พระพลชัย แอบกลับมาอุปสมบทใหม่เมื่อปี 2545 วันหนึ่งได้ไปกราบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (พระมหานิยม ฐานิสฺสโร) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ โดยนำเงินใส่ซองไปด้วย คาดว่าคงจะนำไปถวายท่าน
       
       แต่พอกราบท่านเสร็จ พระพลชัย ได้ถามสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ว่า “จำผมได้มั้ยครับ ผมชื่อ พลชัย” สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ท่านไม่เคยลืม และกำลังตามล่าตัวเจ้าอยู่ด้วย พอเห็นหน้าก็จำได้ทันที
       
       พร้อมกับชี้หน้าว่า “แกมันไม่ใช่พระนี้หว่า” จาก นั้นได้รีบโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาจับกุม แต่ไม่ทันได้จับกุม พระพลชัย คนนี้ก็ได้รีบเผ่นออกจากวัดชนะสงคราม ขึ้นรถหนีออกไปก่อน
       
       **โผล่ทำเนียบฯ-ถ่ายรูปกับ “ยิ่งลักษณ์”
       
       หลังจากไปอยู่ที่วัดเง้าเงาะ ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าสำนักแล้ว พระพลชัย ก็ยังคงใช้นิสัยอันถาวร พฤติกรรมเก่าๆ หลอกลวงชาวพุทธหากินเหมือนเดิม ทั้งการเช่าเวลาสถานีวิทยุ เพื่อออกอากาศเชิญชวนญาติโยมให้ไปทำร่วมบุญสร้างโบสถ์ วิหาร ห้องน้ำ ศาลาการเปรียญ เชิญชวนไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ทุกวันเสาร์ ที่วัดเจ้าเงาะ โดยปัจจุบันจะมีการออกอากาศ 4 สถานีด้วยกัน ในกรุงเทพฯ 2 สถานี และ จ.ปราจีนบุรี 2 สถานี ใช้ชื่อรายการว่า “ธุงคงค์วัตร” โดยเสียค่าเช่าเวลาทั้งหมด 4 สถานี เป็นเงิน 190,000 บาทต่อเดือน
       
       ขณะนี้ยังไม่มีใครที่จะเข้าไปดำเนินการต่อ พระพลชัย และยังคงปล่อยให้ลอยนวลอยู่ในวงการสงฆ์ได้อย่างสง่าผ่าเผย โดยที่ทางพระเถระผู้ใหญ่ และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่ได้ใส่ใจที่จะดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่ๆ รู้ว่า พระพลชัย เคยถูกจับสึกมาแล้วเมื่อปี 2543
       
       โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.56 ที่ผ่านมา พระพลชัย และพระมหา ดร.วิชัย ปุญญกาโม ประธานสงฆ์วัดขุนจันทร์ พร้อมผู้นำเครือข่ายองค์กรชาวนา และภาคประชาสังคมได้ไปนั่งร่วมกันแถลงข่าวที่ตึกนารีสโสมร ทำเนียบรัฐบาล เพื่อดำเนินโครงการเจริญพระพุทธมนต์เพื่อสร้างความสมานฉันท์ ในวันที่ 26 มิ.ย.56 ระหว่างเวลา 14.22-15.22 น.ที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ
       
       อีกทั้งยังพบว่าช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้ากราบนัมสการสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา พระพลชัย ผู้นี้ก็ได้ปรากฏตัวไปนั่งอยู่ในสถานที่นั้นด้วย ซึ่งไม่ทราบว่าทางคณะสงฆ์ พระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งต่างก็รู้ถึงพฤติกรรมของพระพลชัย ในอดีตดีว่าได้สร้างความหม่นหมองให้แก่วงการสงฆ์มามากน้อยขนาดไหน ทั้งในอดีต และปัจจุบัน แต่ก็ยังปล่อยให้ลอยนวลเข้าไปในสถานที่สำคัญเช่นนั้นได้
       
       โดยภาพดังกล่าวที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังสนทนากับสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา โดยมี พระพลชัย ผู้อื่อฉาวผู้นี้นั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วย ได้ถูกพระพลชัย นำไปใส่กรอบตั้งโชว์ไว้ภายในวัดเจ้าเงาะ เพื่อโชว์ให้ผู้ที่มาทำบุญได้เห็นถึงบารมีของตนเอง โดยจะมีพระลูกวัดค่อยแนะนำ และประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อเพื่อให้เกิดความศรัทธา จากนั้นก็จะได้สละทรัพย์สมบัติของตนเองให้
       
       **ปลอมหนังสือสุทธิ 3 เล่มตบตาชาวพุทธ
       
       ปัจจุบัน พระมหา ดร.พลชัย ได้ถือหนังสือสุทธิทั้งหมด 3 เล่มอย่างที่ไม่เคยปรากฏว่ามีพระสงฆ์องค์ใดเคยถือมาก่อน และจากการตรวจสอบพบว่า หนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่ม น่าจะเป็นของปลอม โดยเล่มแรกตรวจสอบพบว่า เป็นหนังสือสุทธิแบบใหม่ที่เพิ่งจะนำมาใช่ในราวๆ ปี 2540 เป็นต้นมา ซึ่งจะมีเลขประจำตัวประชาชนของผู้ถือหนังสือสุทธิ จำนวน 13 หลักกำกับอยู่ แต่กลับพบมีการระบุ “การอุปสมบท” เป็นพระของพระพลชัย ถาวโรว่า อุปสมบทเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2520 วัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
       
       ส่วนแบบเก่าจะไม่มีเลขประจำตัวประชาชนของผู้ถือหนังสือสุทธิกำกับไว้ แต่อย่างใด แต่กลับมีการระบุในหนังสือสุทธิ “การอุปสมบท” เป็นพระของพระพลชัย ถาวโร ว่า อุปสมบทเมื่อวันที่ 27 ก.พ.2545 วัดมหาชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม
       
       นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติในหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่ม ที่ระบุไม่ตรงกันในการย้ายสังกัดวัดด้วย โดยเล่มแรกระบุว่า ได้ย้ายสังกัดจากวัดหัวเขา ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ไปสังกัดวัด “ธุดงคสถานวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ)” ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี “วันที่ 1 มกราคม 2553”
       
       ขณะที่เล่ม 2 ระบุว่า ได้ย้ายสังกัดจากวัดนาควิชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม ไปสังกัด “วัดธรรมปัญญา” ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก “วันที่ 1 กรกฎาคม 2552” และทางวัดธรรมปัญญา รับเข้าสังกัด “วันที่ 26 มีนาคม 2553” ตลอดจนการระบุชื่อในหนังสือทั้ง 2 เล่มก็ต่างกัน โดยบางเล่มระบุ “พระพลชัย” ขณะที่อีกเล่มระบุชื่อ “พระมหาพลชัย”
       
        จากการตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ยังพบอีกว่า “นายพลชัย อุ่นทรัพย์” เดิมชื่อนั้น “ด.ช.วันชัย อุ่นทรัพย์” เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2500 ปีระกา ที่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 6 ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่ล่าสุดจาก “นายวันชัย อุ่นทรัพย์” เป็น “นายพลชัย อุ่นทรัพย์” เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2548 และทำบัตรประชาชนใหม่ในวันเดียวกันที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี
       
       ต่อมา ได้ย้ายชื่อไปอยู่ที่ “วัดสันติวิเศษสุข” (วัดเจ้าเงาะ) หรือ “ธุดงคสถานวิเศษสุข” เลขที่ 26/52 หมู่ 15 ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี และทำบัตรประชาชนครั้งสุดท้ายที่ “อำเภอเมืองปราจีนบุรี” วันที่ 2 ก.ค.56
       
       “ดังนั้น จึงชัดเจนแน่นอนว่าหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มที่พระพลชัย ถืออยู่เป็นของปลอมแน่นอน และลายเซ็นของพระผู้ใหญ๋ในหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มดังกล่าวก็น่าจะเป็นลายเซ็นปลอมด้วยเช่นกัน” แหล่งข่าวกล่าว
       
       ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา พระพลชัย ได้นำหนังสือสุทธิเล่มใหม่อีกเล่ม ซึ่งเป็นเล่มที่ 3 ไปให้พระครูจันทวรกิจจาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเนินดินแดง ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบ้านพระ เขต 2 ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสินติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) เซ็นรับเข้าสังกัด และแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส
       
       แต่จากการตรวจสอบพบว่า หนังสือสุทธิเล่มที่ 3 นี้เป็นการปลอมขึ้นมา โดยมีการเขียนด้วยน้ำหมึก 2 สี คือ สีดำ กับ สีน้ำเงิน และเปลี่ยนชื่อใหม่จาก พระพลชัย กลับมาใช้ชื่อเดิม พระวันชัย แต่ถูกทางเจ้าคณะตำบลบ้านพระปฏิเสธ ซึ่งทางพระพลชัย บอกต่อเจ้าคณะตำบลบ้านพระว่า จะกลับไปเขียนมาใหม่ให้ถูกต้อง
       
       **เป็นทั้งสมุน “ภาวนาพุทโธ-ธรรมกาย”
       
       นอกจากนี้ พระพลชัย ยังเคยเป็นแกนนำเคลื่อนไหวทำเรื่องเพื่อยื่นประกันตัวให้แก่ “ภาวนาพุธโธ” สมีคนดังที่ถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีข่มขืนเด็กสาวชาวเขามาก่อน
       
       และเมื่อช่วงต้นปลายปี 2542 ถึงต้นปี 2543 ก็เคยเป็นแกนนำร่วมมือกับวัดพระธรรมกาย พาพระสงฆ์ร่วม 200 รูป ออกมาเคลื่อนไหวเข้ายื่นหนังสือกดดันให้ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้นให้สั่งการถึงกรมการศาสนา ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม นำเรื่องเสนอมหาเถรสมาคม เพื่อทบทวนคำสั่งที่ให้พระพรหมโมลี ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 หากไม่ทบทวนจะระดมพระวิป้สสนากรรมฐานมาประท้วงเป็นหมื่นๆ รูป
       
       อีกทั้งยังเคยออกมาพูดจาจาบจ้วงเกี่ยวกับลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช หาว่าเป็นลายพระหัตถ์ปลอมด้วย
       
        ทั้งหมดนี้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของ “สมีพลชัย” ที่ชาวพุทธทั้งหลายควรที่จะใช้ปัญญาในการพิจารณาว่า “พระแท้” กับ “พระไม่แท้” นั้นเป็นอย่างไร และเรื่องนี้ทางมหาเถรสมาคม (มส.) สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ไม่ควรนิ่งเฉย “ปล่อยคนชั่วลอยนวล”


อีกแล้ว! “โล้นพลชัย” ใช้เอกสารปลอมยื่นขอเป็นเจ้าบ้าน “วัดเจ้าเงาะ” ต่ออำเภอเมืองปราจีน-ที่ดินจังหวัด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ปราจีนบุรี - “สมีโล้นพลชัย” ฉาวอีก พบใช้หนังสือสุทธิปลอมยื่นต่ออำเภอเมืองปราจีนบุรี เพื่อขอเป็นเจ้าบ้าน และยื่นที่ดินจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขอออกเอกสารสิทธิที่ดิน “วัดเจ้าเงาะ” เชื่อทำมาแล้วหลายแห่ง จี้ “มหาดไทย” ตรวจสอบดำเนินคดี ขณะเดียวกัน ยังหลอกลวงญาติโยมไม่หยุดให้ควักเงินร่วมทำบุญส่งพระไปธุดงค์ประเทศอินเดีย อีก 100 รูป ด้านชาวบ้านรอบวัดเจ้าเงาะ สวดยับทำวัดหลวงปู่เที่ยงเสื่อมเสีย
       
       วันนี้ (16 ก.ย.) แหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ใน จ.ปราจีนบุรี เปิดเผยถึงพฤติกรรม พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร ที่กำลังตกเป็นข่าวอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้โดยยืนยันว่า หลังจากพระครูวิเศษพัฒนคุณ (พ่อเที่ยง ผาสุโก) ผู้ก่อตั้งวัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ได้มรณภาพลงเมื่อปี 2554 พระมหา ดร.พลชัย ซึ่งได้เข้ามาอยู่ที่วัดเจ้าเงาะนี้ตั้งแต่ปี 2553 ได้มีความพยายามที่จะยึดทรัพย์สิน รวมทั้งที่ดินของวัดเจ้าเงาะ ร่วม 100 ไร่ ที่หลวงปู่เที่ยง สร้างไว้เพื่อให้เป็นมรดกของศาสนา มาเป็นของตนเองจริง
       
       โดยที่ผ่านมาพบว่า พระมหา ดร.พลชัย ได้มีการนำเอาเอกสารหนังสือสุทธิ 1 ในจำนวน 2 เล่มที่ตนเองถืออยู่ที่มีการตรวจสอบพบว่าเป็นของปลอมทั้ง 2 เล่มนั้นไปยื่นต่อสำนักทะเบียนอำเมืองปราจีนบุรี เพื่อขอเป็นเจ้าบ้านวัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) บ้านเลขที่ 26/52 หมู่ 15 ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โดยย้ายเข้ามาอยู่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2556
       
       หลังจากนั้น พระมหา ดร.พลชัย ก็ได้นำเอาเอกสารหนังสือสุทธิดังกล่าวอีกเล่มหนึ่งจาก 1 ในจำนวน 2 เล่มนั้นไปยื่นต่อที่ดินจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขอออกเอกสารสิทธิที่ดินอีกจำนวน 1 แปลง คาดว่าที่ดินดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นที่ดิน จำนวน 5 ไร่ ที่อยู่ตรงข้ามกับวัดเจ้าเงาะ ที่หลวงปู่เที่ยง ได้ซื้อไว้จากโยมคนหนึ่ง แต่ยังจ่ายเงินไม่หมด หลวงปู่เที่ยง ก็ได้ล้มป่วย และมรณภาพลงเสียก่อน ต่อมา ทางพระมหา ดร.พลชัย ได้อ้างว่าเป็นที่ดินของตนเองที่ซื้อมาในราคา 5,500,000 บาท
       
       “ผมไม่ทราบว่าทางสำนักทะเบียนอำเภอเมืองปราจีนบุรี กับที่ดินจังหวัดปราจีนบุรี ได้มีการตรวจสอบเอกสารที่ พระมหา ดร.พลชัย นำไปยื่นเพื่อขอเป็นเจ้าบ้านที่วัดเจ้าเงาะ และยื่นขอออกเอกสารสิทธิที่ดินอย่างละเอียดถี่ถ้วนหรือไม่ และถ้าหากมีการตรวจสอบพบว่า เอกสารทั้งหมดที่พระมหา ดร.พลชัย นำไปยื่นนั้นเป็นเอกสารปลอม ทางสำนักทะเบียนอำเภอเมืองปราจีนบุรี กับที่ดินจังหวัดปราจีนบุรี จะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไปกับ พระมหา ดร.พลชัย” แหล่งข่าวกล่าว
       
       พร้อมกล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่า พระมหา ดร.พลชัย คงจะมีการนำเอาเอกสารหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มนี้ไปยื่นต่อหน่วยงานต่างๆ อีกมากมายหลายแห่งทั้งหน่วยงานของภาครัฐ และภาคเอกชนอย่างแน่นอน รวมทั้งที่ว่าการอำเภอสะเดา จ.สงขลา ที่พระมหา ดร.พลชัย เคยย้ายชื่อเข้าไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 10/1 ถ.วิถีธรรม ต.สะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา และได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ที่นั่น โดยเปลี่ยนชื่อตัว และชื่อสกุลจากคำว่า “นายพลชัย อุ่นทรัพย์” เป็น “พระพลชัย อุ่นทรัพย์” เมื่อวันที่ 14 ก.พ.2554 ก่อนที่จะมีการย้ายเข้ามาอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข เลขที่ 26/52 หมู่ 15 ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี และทำบัตรประชาชนครั้งสุดท้ายที่อำเภอเมืองปราจีนบุรี วันที่ 2 ก.ค.2556 ก็น่าจะมีส่วนก้วย
       
        “เรื่องนี้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ควรจะสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ และถ้าพบว่าเป็นความจริงก็ควรที่จะแจ้งความดำเนินคดีทันที ไม่ควรที่จะปล่อยไว้ รวมทั้งควรที่จะมีการดำเนินคดีฐานแอบอ้างว่าเป็น พระมหา ดร. ด้วย” แหล่งข่าวกล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในวัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรีว่า หลังจากพระมหา ดร.พลชัย ตกเป็นข่าวอื้อฉาว ประชาชนที่อยู่บริเวณรอบๆ วัดเจ้าเงาะ ต่างกล่าวในทำนองเดียวกันว่า ขณะนี้ชาวบ้านได้รู้ความจริงแล้วหลังจากที่สงสัยกันมานานว่า พระมหา ดร.พลชัย กับอดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกกองปราบฯ จับกุมคาชุดนายทหารยศ “พันเอก” ขณะขับรถยนต์หรูพาสีกาสาวไปนอนภายในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และถูกจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 เนื่องจากอาบัติปาราชิกนั้นเป็นคนเดียวกัน
       
       “ไม่ทราบว่าปล่อยให้พระรูปนี้เข้ามาอยู่ที่วัดเจ้าเงาะนี้ได้อย่างไร พอเข้ามาแล้วก็สร้างความเสื่อมเสียให้แก่วัดที่หลวงปู่เที่ยง ท่านเข้ามาบุกเบิก และสร้างเอาไว้ อยากเรียกร้องให้ทางสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือพระเถระผู้ใหญ่ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองเข้ามาจัดการโดยด่วนด้วย เพราะหลังจากที่หลวงปู่เที่ยงมรณภาพลงแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีใครเข้าไปทำบุญที่วัดนี้กันเลย จะมีก็คนนอกพื้นที่ที่ไม่รู้เรื่องเท่านั้น ยิ่งชาวบ้านรู้ประวัติพระรูปนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่มีใครอยากจะเข้าวัดกันใหญ่้ มันทำให้เสื่อมเสียไปทั้งจังหวัดปราจีนบุรี อยากให้ออกไปจากพื้นที่โดยเร็ว” ชาวบ้านข้างวัดคนหนึ่งกล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา พระมหา ดร.พลชัย และคณะได้พาญาติโยมจาก กทม. มาทำบุญ และสะเดาะเคราะห์ที่วัดเจ้าเงาะกันตามปกติทุกวันเสาร์ โดยมีประมาณ 200-300 คน ซึ่งผู้ที่มาส่วนใหญ่เป็นผู้สุงอายุ โดยทีมงานของ พระมหา ดร.พลชัย จะจัดรถบัสรับส่ง โดยรถจะออกจากสี่แยกเกียกกาย กทม. ช่วงเวลา 06.30 น. มุ่งหน้ามาที่วัดเจ้าเงาะ จากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น. ก็จะนำกลับไปส่งยังที่เดิม
       
       ผู้ที่มาร่วมสะเดาะเคราะห์ในครั้งนี้ด้วยรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ไม่ทราบมาก่อนว่า พระมหา ดร.พลชัย กับอดีตพระครูธรรมธรวันชัย ที่ถูกกองปราบฯ จับกุม และจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 เป็นคนเดียวกัน เพิ่งมารู้ก็วันนี้ ซึ่งทุกคนที่มาก็ไม่มีใครรู้ ส่วนใหญ่ที่มาจะชวนกันมา และฟังจากรายการวิทยุที่ พระมหา ดร.พลชัย ดำเนินการรายการอยู่ที่ กทม. แล้วโทรศัพท์เข้าไปจองที่นั่งเดินทางมาพร้อมกัน ซึ่งถ้าคนมารู้เรื่องนี้คงไม่มีใครมาแน่
       
        “ที่มาก็เพราะอยากมาทำบุญ เพราะเห็นพระมหา ดร.พลชัย บอกว่า วันนี้ที่วัดเจ้าเงาะ มีเทศน์มหาชาติ และได้บอกบุญแก่ญาติโยมให้ร่วมกันบริจาคทรัพย์ตามกำลังทรัพย์ในการจัดส่งพระ ไปธุดงค์ในประเทศอินเดียแบบไปกลับอีก 100 รูป และท่านก็บอกว่าขณะนี้ได้ส่งพระไปอยู่ที่ประเทศอินเดียแล้วจำนวนหลายรูป และจะมีโครงการแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อผมรู้ข่าวอย่างนี้แล้วก็รู้สึกหดหู่ใจ และคงไม่กล้าไปบอกคนที่มาด้วยกันบนรถแน่”
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบไปยังพระที่จำพรรษาอยู่ที่ประเทศอินเดีย และรู้จักกับพระพลชัย ดี ได้รับการเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา พระพลชัย จะหากินแบบนี้มาตลอดตั้งแต่อดีตตอนที่ยังไม่โดนจับสึกจนมาถึงปัจจุบัน ส่วนพระที่พระพลชัย อ้างว่า ส่งมาจำพรรษาและมาธุดงค์ในประเทศอินเดียวนั้น ณ ตอนนี้มีเพียงแค่ 2-3 รูปเท่านั้น ซึ่งเป็นพระที่สนิทกับพระพลชัย ส่วนที่ว่า 100 รูปนั้นไม่มีแต่อย่างใด ส่วนที่มีก็ได้กลับไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งมีเพียงไม่กี่รูปที่โดนพระพลชัย หลอกมาแล้วปล่อยทิ้งไว้ที่ประเทศอินเดียให้หาหนทางกลับประเทศไทยเอง ส่วนเงินที่โยมบริจาคนั้นอยู่ในย่ามของพระพลชัย
       
       “อย่าว่าแต่พระสงฆ์ที่อยู่ในอินเดียตอนนี้โดนพระพลชัย หลอกเลย พระที่อยู่ในเมืองไทยก็มีมากมายที่โดนพระพลชัย นี้หลอก” พระรูปนี้เปิดเผย


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags : สมีโล้นพลชัย โผล่ทำเนียบฯ นั่งแถลงข่าว หน้าตาเฉย คณะสงฆ์ปราจีน ขีดเส้นตาย ไปให้พ้น วัดเจ้าเงาะ

view