จากประชาชาติธุรกิจ
เรื่อง/ภาพ ธรรมธวัช ศรีสุข /Spinoff ประชาชาติฯออนไลน์
ลองจินตนาการภาพหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่มีถนนตัดผ่าน ไม่มีเสียงดังรบกวน ไม่มีรถวิ่ง ไม่มีเสียงแตรดัง และควันจากท่อไอเสียให้หงุดหงิด มันคงเพอร์เฟคและ “ดีต่อใจ” สำหรับคนรักการพักผ่อนอันแสนสงบเป็นแน่ แต่ไอ้สถานที่แบบนี้จะมีจริงหรือ … แล้วผู้คนจะเดินทางสัญจรไปมาหากันยังไง?
คำถามทั้งหมดถูกเฉลยเมื่อได้ไปเห็นกับตา หลังมีโอกาสได้ไปเยือน “เนเธอร์แลนด์” ดินแดนแห่งกังหันสีส้ม ที่มีหมู่บ้านเล็กๆ ย่านชานเมือง ในจังหวัดโอเวอร์จิสเซล ชื่อเก๋ๆ ผสมเรียกยาก ว่า “หมู่บ้านกีธูร์น” พิกัดตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองอัมสเตอร์ดัม 124 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสประมาณ 2 ชั่วโมง หลับหนึ่งตื่นก็ถึงแล้ว แต่ระหว่างทาง วิวสองฝั่งข้างทาง จากตึกสูงในเมือง ก็ค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนเป็นสีเขียวตามธรรมชาติ เป็นสัญญาณบอกว่า เรากำลังเข้าสู่ย่านชนบทแบบเต็มตัวแล้ว …
“หมู่บ้านกีธูร์น” ได้รับชื่อเล่นเก๋ๆ ว่า “เวนิสแห่งเนเธอร์แลนด์” ตั้งอยู่ติดริมทะเลสาป ไม่มีถนนหนทาง ชาวบ้านสัญจรไปมาด้วยการพายเรือเล็ก แล่นผ่านคลองที่ขุดขึ้นมาพาดยาวทั้งหมู่บ้าน หนุ่มคนไหนจะจีบสาวละแวกนั้น คงต้องพายเรือไปจีบ หรือออกเดทก็คงได้พายเรือชมธรรมชาติ แหม … คงโรแมนติกน่าดู หรือน่ารักหน่อยก็เดินข้ามสะพานไม้ที่มีอยู่ทั่วหมู่บ้านไปหากัน เป็นอีกมุมที่นักท่องเที่ยวชอบถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก
สอบถามพี่ๆ คนท้องถิ่นได้ความว่า คลองที่นี่ลึก 1 เมตร ยาวประมาณ 10 กิโลฯ สัมผัสแรก ที่นี่ทั้งเงียบสงบ แทบไม่มีเสียงใดๆ รบกวนโสตประสาท นอกจากเสียงครวญเพลงจากธรรมชาติ และสัตว์ต่างๆ ที่ทำตัวเป็นนักร้องประสานเสียงต้อนรับผู้มาเยือน
เกร็ดเล็กน้อย “หมู่บ้านกีธูร์น” มีประชากรทั้งสิ้น 3 พันคน จากบ้านประมาณ 1 พันหลัง ผู้คนประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ ทำไร่นา ปลูกพืชผลทางการเกษตร
จนกระทั่งปัจจุบัน “กีธูร์น” เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวบริการทัวร์ริสแบบเต็มตัว ผู้คนจึงเริ่มปรับตัวหันมาทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ ทั้งเปิดร้านอาหาร เช่าจักรยาน ให้บริการบ้านตัวเองในแบบ BNB ห้องนอนพร้อมอาหารเช้า และกิจกรรมล่องเรือชมหมู่บ้านตามแนวคลอง สายสโลว์ไลฟ์ก็พายเรือชิลๆ ชมธรรมชาติ หรือใครกำลังขาฟิตเปรี๊ยะ แรงยังเหลือ ก็สามารถเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้านได้ เพราะอากาศค่อนข้างดีมาก เดินได้สบายๆ ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่อปีสูงถึงหนึ่งล้านคน โดยเยอะสุดเป็นฤดูใบไม้ผลิ แม้ไม่มีอะไรดึงดูดมากไปกว่าความเงียบสงบ และธรรมชาติ แต่นั่นก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการพักผ่อน
หรือหากใครชอบบรรยากาศปาร์ตี้ริมน้ำ โซนด้านหลังหมู่บ้านจะมีบ้านแคมป์ปิ้งสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ หรือครอบครัว ค่าบริการสัปดาห์ละ 500 ยูโร หรือราวๆ 2 หมื่นบาท แต่หากต้องการนั่งเรือชมหมู่บ้านแบบฟูลคอร์ส ค่าชม 7.50 ยูโร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการทัวร์หนึ่งรอบ
ที่สำคัญ ถึงเรือจะลำใหญ่ บรรจุคนเยอะแต่ใช้เป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า ทำให้ไม่มีเสียงดังรบกวนผู้คน โดยเปิดให้บริการตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น
ภาพที่เห็นชินตา ผู้คนจะพาสุนัขออกมาเดินเล่น ผู้สูงอายุเดินออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน แม้กระทั่งเป็ด ไก่ นก ก็ยังพากันทำหน้าที่เจ้าถิ่น ออกมาทักทายผู้คนอย่างเป็นกันเอง
ซึ่งบ้านแต่ละหลัง จะสร้างเป็นประตูไม้กั้นไว้ ไม่ได้มีระบบป้องกันอะไรหนาแน่นซับซ้อนนัก เนื่องจากความปลอดภัยที่นี่เชื่อได้ แต่ขอแนะนำว่า อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าบ้านใครไปถ่ายรูปเล่นเป็นอันขาด เพราะผู้เขียนเองเกิดปิ๊งโลเคชั่นถ่ายภาพในบ้านหลังหนึ่ง ที่ดูทรงแล้วน่าจะร้าง เพราะประตูไม่ได้ล็อค ก็เปิดเข้าไปถ่ายรูปจนเสร็จพิธี ก่อนที่เจ้าถิ่นเป็นหมาตัวยักษ์จะวิ่งมาไล่ ก็ได้แต่วิ่งหนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต
ถึงตอนนั้นเข้าใจแล้วว่า … ทำไมผู้คนที่นี่ถึงนิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์ที่ตัวใหญ่ๆ เอาไว้ในบ้าน … แหม่ ก็ไม่มีป้ายเตือน “ระวังสุนัขดุ” เหมือนบ้านเรานี่เนาะ
นอกจากธรรมชาติ และเสน่ห์ของตัวบ้านแล้ว หมู่บ้านกีธูร์นยังมีโบสถ์ 2 แห่ง และพิพิธภัณฑ์ที่ภายในเป็นโบราณวัตถุที่มีความเก่าแก่ถึง 100 ปีให้เยี่ยมชมอีกด้วย
เมื่อก่อน หมู่บ้านกีธูร์น ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก กระทั่งในปี ค.ศ.1958 ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวดัตช์ได้ถ่ายทำภาพยนตร์คอเมดี้เรื่อง “แฟนแฟร์” โดยใช้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นฉากหลัง จึงเริ่มทำให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ และอยากมาเยี่ยมเยือนกันมากขึ้น
อ้อ! หลายคนอาจสงสัยว่า ไม่มีถนน และเรือแบบนี้ ผู้คนจะเข้าไปในเมืองอย่างไร คนที่นี่จะใช้บริการรถเมล์ รถไฟ หรือรถยนต์ส่วนตัว
สำหรับตัวบ้านจะเป็นสไตล์เดียวกันหมด แนวยุโรปชั้นเดียวเล็กๆ น่ารัก ดูอบอุ่น มีพื้นที่นั่งเอกเขนกผ่อนคลายหน้าบ้าน และสวนด้านหลัง สังเกตบนหลังคาจะมีลักษณะพิเศษ ซึ่งเป็นการมุงหลังคาด้วยใบ Reed เป็นพืชน้ำลักษณะคล้าย “ต้นกก” ในบ้านเรา โดยพบเจอได้ง่าย ผู้คนนำมาจากให้แห้งทำเป็นฟืนและใช้มุงหลังคา มีอายุการใช้นานถึง 25 ปีก่อนเปลี่ยนใหม่
หลังทัวร์รอบหมู่บ้านจบ ท้องเริ่มร้องออกอาการงอแง เราได้รับคำแนะนำให้ทานอาหารที่ร้าน Asperges ในบรรยากาศตากอากาศ รับลมเย็นสบายๆ เริ่มเสิร์ฟเมนูแรกด้วย ซุปบล็อคโคลี่ ที่มีความหวานเข้มข้นและเค็มนิดๆ จากเกลือ จากที่กลัวว่าจะทานยาก แต่จริงๆ แล้วกลมกล่อม โรยพริกไทยเพิ่มความร้อนแรงอีกนิด เป็นอันใช้ได้ ทานร้อนๆ ฟินมาก
จานเมนหลักเป็นสเต็กเนื้อเสิร์ฟพร้อมเฟรนฟราย สังเกตว่า มันฝรั่งที่นี่อร่อยมาก อร่อยทุกร้านที่ได้ไป ทานคู่กับสเต็กเนื้อนุ่มเข้ากันดีเหลือเกิน ก่อนจะตบท้ายด้วยไอศครีมสตรอเบอร์รี่ เป็นอันปิดจ็อบที่หมู่บ้านกีธูร์นแบบฟินๆ โดยใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 3 ชั่วโมง สามารถวางแพลนไปเที่ยวต่อที่อื่นได้สบายๆ เหมาะสำหรับมาเที่ยวเป็นสถานีแรกของวันมาก
“กีธูร์น” ถือเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ใหม่มาก และไม่เก่าจนเกินไป กำลังเป็นอีกจุดหมายที่นักท่องเที่ยวอยากมาสัมผัสสักครั้ง แม้ไม่มีแอคทิวิตี้โลดโผนให้ทำมากนัก หรือโดนแซวว่าเหมาะสำหรับคนสูงวัยมาพักผ่อน ใช้เวลาช่วงเกษียณ แต่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ เหมาะสำหรับทุกคนที่อยากใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ เสพความสงบแบบจริงๆ ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ไม่ยาก
#eosgear,#ถุงมือกันบาด,#อะไหล่ victorinox,#victorinox มือสอง,#cutting resistance glove,ไร่รักษ์ไม้,สวนศิริผล,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต