จากประชาชาติธุรกิจ
“ใครจะคาดคิดว่า...วันหนึ่งเพจข้อมูลวิทยาศาสตร์จะมีคนติดตามหลายเเสนคน” มิตรสหายเเอดมินท่านหนึ่งบอกกับเรา
นั่นสินะ...ลองจินตนาการดูถึง กระบวนการผลิตคอนเทนต์ความรู้สายวิทย์ที่ใครๆก็ต่างบอกว่าเข้าถึง“ยาก”นำมา ผสมผสานความเกรียนใส่ความฮาเพิ่มความน่ารักว่าจะสามารถถ่ายทอดออกมาได้ในรูป แบบใดได้บ้าง
หนึ่งตัวอย่างที่คิดออกคงจะเป็น “วิทย์ เหี้ยเหี้ย” เพจความรู้ขวัญใจเด็กวัยฮอร์โมนที่เหล่านักเรียนนักศึกษาติดใจกันหนักหนาด้วยยอดผู้ติดตามถึงกว่า288,000คน
ความเกรียนก็มาก เเต่ไม่มากเทียบเท่าความรู้ที่มี...
ประชาชาติฯออนไลน์ พูดคุยกับ “พี่นิว” ผู้ขอสงวนชื่อจริงเเละหน้าตา หนึ่งในแอดมินสายบุกเบิกผู้ร่วมก่อตั้ง พ่อบ้านเเห่งวิทย์ เหี้ยเหี้ย กับที่มาของความอยากรู้อยากลองเเละความตั้งใจจริงในการเผยเเพร่ความรู้วิทยาศาสตร์ “รูปแบบใหม่” ให้วงการการศึกษาไทย
กับเรื่องราวของการเปลี่ยน “โจทย์” ในหนังสือเรียนที่สุดเเสนจะเชย ให้ทันสมัยเเละน่าค้นหาคำตอบโดยใช้ความฮาเป็นตัวเชื่อม เเนะเทคนิคการย่อยเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายเเละการตั้งเป้ายกระดับสู่ “ชุมชนนักสื่อสารวิทยาศาสตร์” ในอนาคต
บอกเล่าแถลงไขถึงที่มาของ“วิทย์ เหี้ย เหี้ย”
เริ่มต้นจากความสงสัยในการเรียนการสอนที่มีการยก ตัวอย่างมาประกอบและมีโจทย์ปัญหาอย่างวิชาฟิสิกส์เช่นการมีกล่องๆหนึ่งให้ เราไปเข็นกล่องไปหรือการขว้างปาลูกบอลเรียนซ้ำแบบเดิมมาตั้งแต่สมัยมัธยม
“เรารู้สึกว่าแบบนั้นมันเชย...น่าจะมีไอเดียที่นำเอาพวกโจทย์เหล่านี้มาแต่งให้มันสนุกๆได้นะ”
ส่วน ตัวผมชอบวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กเรียนสายวิทย์มาโดยตลอดเป็นคนชอบอ่าน หนังสือแล้วเขียนโน่นเขียนนี่อยากเขียนแล้วเล่าให้คนอื่นฟังก็เลยเป็นแรง บันดาลใจส่วนหนึ่งที่มาทำเพจนี้ “เพื่ออยากเล่าที่สิ่งเรารู้ให้คนอื่นฟัง”
ย้อนไปเมื่อประมาณ3ปีก่อนตอนนั้นเรียนจบแล้วเป็นการรวมตัวของแอดมินหลายท่านตอนแรกมี7คน แอดมินทั้งหมดเรียนวิศวะ แต่ละคนมาจากคนละภาค เช่น นาโนสิ่งแวดล้อม คอมพิวเตอร์ ตอนแรกมีผมเป็นคนคิดคอนเทนต์และอีกคนเป็นคนวาด จากนั้นคุยๆกันกับเพื่อนอีกหลายคนแล้วก็เห็นตรงกันว่าไอเดียดี ก็เลยร่วมมือกันปั้นเพจนี้ขึ้นมา
ส่วน หนึ่งเราได้ไอเดียนี้มาจากอาจารย์สมัยที่เรียนที่จุฬาฯเพราะมีวิชาหนึ่งที่ เราต้องไปเรียนที่คณะบัญชีคือวิชาสถิติมีอาจารย์คนหนึ่งที่ชอบออกโจทย์ตลกๆ ที่เข้ากับกระแสสังคมพอเราเข้าไปนั่งเรียนแล้วรู้สึกว่าเห้ยมันสนุก อยากได้ไอเดียนี้มาปรับใช้กับวิชาวิทยาศาสตร์บ้าง
โพสต์แรกก็จะเป็นโจทย์แนวฟิสิกส์ เช่นมีคนตกลงไปในบ่ออึหรือยืนอยู่ยนรถแล้วก็ไปตดในรถ เป็นการเอาโจทย์มาเล่นอะไรเกรียนๆแปลกๆ แต่เข้าถึงง่าย ดูน่าหาคำตอบ ดึงดูดให้ผู้อ่านเข้ามาแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง
บางโจทย์มันอาจจะเว่อร์เกินไปเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ แต่ว่ามันสนุกกับการแก้ปัญหา
ทำไมใช้ชื่อว่า “วิทย์ เหี้ยเหี้ย” ?
ก่อนเริ่มทำเพจ คิดกันมาหลายชื่อ สุดท้ายได้มาเป็น “วิทย์ เหี้ย เหี้ย” อธิบายได้ว่ามันมีสองความหมายโดย “เหี้ย เหี้ย” แรกคือ วิทย์มากๆทำไมมันวิทย์ขนาดนี้ สุดๆ ไปเลย แบบ Fucking วิทย์กับอย่างที่สองก็ตรงตัวครับ วิทย์เหี้ยเหี้ย จัญไรๆ (หัวเราะ)
วิทยาศาสตร์ในมุมมองของแอดมิน
วิทยา ศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัว มันเป็นเรื่องการคิดแบบมีเหตุมีผลเชื่อว่าอะไรเกิดขึ้นจากอะไรมันใช้กับทุก เรื่องเพราะต่อให้เราเรียนสายสัมคมก็ต้องคิดว่าอะไรคือเหตุอะไรคือผลต้องมี กระบวนการทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริงโดยใช้หลักฐานนั่นแหละคือแก่นของวิทยา ศาสตร์ไม่ใช่แค่การจดจำตารางธาตุแต่มันคือการคิดเชิงวิพากษ์...
คน ชอบมองว่ามันไกลตัว อย่างการที่เราเรียนพายอาร์กำลังสองเราก็จะงงเรียนไป ทำไมแต่ลึกๆมันเป็นการฝึกให้เราใช้เครื่องมือฝึกแก้ปัญหานั่นคือจุดประสงค์ ของวิชาที่เป็นการฝึกคิดซึ่งหลักสูตรในบ้านเราอาจไม่ค่อยมีการฝึกคิดเท่า ไหร่ก็เลยเป็นปัญหา
เริ่มจากหลักร้อย....ไต่ถึงหลักแสน
ช่วงแรกยอดไลค์ร้อยกว่าคน ...ก็ไม่ท้อนะเพราะทำเอาฮา อยากทำสนุกๆไม่คิดถึงผลอะไรเลยนะ (หัวเราะ) เราตั้งใจอยากให้วงการการเรียนการสอนสนุกขึ้น เพราะมันสามารถทำให้สนุกและได้ความรู้พร้อมกันได้วิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องน่าง่วงนอน ไม่ใช่วิชาที่น่าเบื่อ...เครียดหรือน่ากลัวอยากให้มันน่าตื่นเต้นและ แตกต่าง
ถึงตอนนี้ผมว่ามันมาไกลเกินกว่าที่คาดคิดแบบ “เกินสุดๆ” ใครจะคิดว่าเพจวิทยาศาสตร์จะมีคนเป็นแสนมาสนใจก็ขอฝากขอบคุณแฟนเพจด้วย
ย่อยสิ่งที่ "ยาก" ให้เป็นสิ่งที่ "ง่าย" มีเทคนิคอย่างไร
ให้คิดว่าเราเป็นคนที่อ่านหรือเป็นคนที่ ฟังว่าสิ่งที่เรากำลังจะพูดและนำเสนอออกไปเราเข้าใจมันหรือเปล่าเมื่อเป็น งานวิทย์เราจะหลีกเลี่ยงใช้ศัพท์เทคนิคหรือศัพท์วิชาการจ๋าๆแต่ถ้าจำเป็น ต้องใช้จริงๆเราก็จะพยายามใส่คำอธิบายไว้
อีกอย่างที่สำคัญมากในการ สื่อสารคือ“รูปประกอบ” ถ้าเราเลือกรูปที่เห็นแล้วเข้าใจเลยหรือเห็นแล้วเข้า ใจบ้างเห็นแล้วฮาเลยมันจะช่วยได้มาก
พูดถึงแฟนเพจ “วิทย์ เหี้ยเหี้ย” หน่อย
คอนเทนต์เพจเราเจาะกลุ่มนักเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลาย ส่วนมากเป็นสายวิทย์แต่สายศิลป์ก็อ่านได้ เราคิดว่าเด็กกำลังอยู่ในช่วงเวลานี้หรือบางคนอาจจะผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้วจะเข้าใจโจทย์พวกนี้ดี เราคิดว่าเขาจะ “อิน” เพราะเคยผ่านการสอบการอ่านแบบนี้มาก่อน
ส่วนใหญ่คือเป็นน้องวัยเรียนมัธยมนักศึกษา รองลงมาเป็นวัยทำงาน กลุ่มเจน Y ถึงเจน Z ผสมผสานกันแรกๆแฟนเพจเป็นผู้ชายเยอะมาก สัดส่วน 70 ต่อ 30 เลยทีเดียวตอนนี้มีผู้หญิงเยอะขึ้น... ก็น่าดีใจครับ
ด้วยความที่เป็นวัยเรียนเยอะก็มักจะมีคำถามส่งเข้ามาถามหลังไมค์ว่า “พี่ช่วยทำการบ้านหน่อย”แต่เราก็ไม่ได้ช่วยเขานะ เพียงแต่บอกใบ้ไป ให้เขากลับไปทำเองและหาคำตอบต่อกฎเหล็กคือเราจะไม่บอกว่าทำอย่างไร
พอสังคมเพจเราโตขึ้นมีคนเข้ามาหลากหลาย ทำให้การบริหารเพจยากขึ้นตามไปด้วยไหม?
เหมือนเดิมครับ ด้วยเจตนาที่เราทำตอนแรกคือ “เอาสนุก”แต่ก็ต้องระวังและเป็นสิ่งที่เราทำมาตลอดคือข้อมูลที่ถูกต้องและ สิ่งที่เราพูดต้องไม่ไปถูกดูใครเรื่องความเชื่อศาสนาซึ่งพอเพจมีคนไลค์เยอะๆ ก็กลัวเหมือนกันจะลงอะไรที่อ่านทวนเป็นสิบรอบลองมองหลายๆมุมว่ามันไปกระทบ ใครหรือเปล่าแต่ที่ผ่านมาเพจเราก็ไม่ค่อยมีประเด็นดราม่านะเพราะเราค่อนข้าง ระวัง...จริงๆดราม่าก็เป็นเรื่องดีครับถ้าเราอยู่ถูกข้างแต่บางทีก็ไม่ เสี่ยงนะช่างมัน(หัวเราะ)
ด้วยความที่เป็นเพจให้ข้อมูล...กว่าจะปล่อยผลงานสักชิ้นใช้เวลาเท่าไหร่
นาน ครับต้องค้นคว้าเยอะพอสมควรเพราะอยากให้ผู้อ่านได้ข้อมูลที่เป๊ะที่สุด สำหรับเรื่องที่เรามีพื้นฐานอยู่แล้วก็จะไม่นานเท่าไหร่แอดมินคนไหนถนัด เรื่องอะไรเราก็กระจายกันไปการแพทย์ก็คนหนึ่งเคมีก็คนหนึ่งส่วนผมจะดูเรื่อง ฟิสิกส์และดาราศาสตร์
การค้นหาข้อมูลเราก็จะมีแหล่งที่มาสี่ถึงห้า แหล่งส่วนมากเป็นข่าวต่างประเทศหรือผลวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ สังเกตว่า เวลาที่เราเล่าข่าวที่มาจะต้องมากกว่าหนึ่งที่และต้องเป็นแหล่งที่น่าเชื่อ ถืออย่างถ้าเป็นสำนักข่าวก็ซีเอ็นเอ็นรอยเตอร์สบีบีซีมาชั่งข้อมูลก่อนหรือ หากเรามีแหล่งที่เป็นต้นฉบับเลยเช่นนาซาประกาศข่าวเราก็จะเลือกใช้ของนาซา เป็นต้น
ส่วนที่เป็นมุขตลกที่เอาไว้เล่นกับลูกเพจเวลาว่างๆแอดมินก็ จะช่วยกันคิดใครคิดออกก่อนก็เอามาแชร์กันว่าช่วงนี้มันมีมุขแนวนี้อยู่นะ ต้องเล่นซะหน่อย ใครต่อมุขได้บ้างต่อๆกันไปแล้วก็เอาไปตัดต่อภาพแล้วโพสต์ ไม่นานหรอกครับ แค่ 2-3 ชั่วโมง
แบ่งเวลาทำงานและเวลาทำเพจยังไง ?
เป็นข้อดีของการมีแอดมินอีกกลุ่มที่อยู่เมืองนอก คือช่วงเวลาก็จะไม่ตรงกันเรานอนอยู่ เขาก็นั่งอ่านนั่งทำของเขาไป ส่วนผมพอเลิกงานปุ๊บก็มานั่งอ่านดูว่ามีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นไหมเขียนได้หรือเปล่า กลับบ้านอาบน้ำเสร็จค่อยมาทำ ให้เวลาช่วงหลังเลิกงานครับเพราะทำในเวลางานไม่ได้ เดี๋ยวโดนไล่ออก (ฮ่าๆๆๆ)
ตามเพจวิทยาศาสตร์ “ของไทย”เพจไหนบ้าง
ส่วนตัวผมตามเพจ “วิทย์สนุกรอบตัว” ครับเป็นเพจที่ทำอินโฟกราฟฟิกสวยมาก สวยจริงๆแบบที่เพจเราทำไม่ได้ (ฮ่าๆ) อาจารย์สายวิทย์หลายๆท่านเพจหมอแล็บแพนด้าก็ตามอยู่และเพจของหน่วยงานรัฐอย่างสถานบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติไบโอเทค-เนคเทคเป็นต้น
ไม่ ทราบเหมือนกันว่าแอดมินท่านอื่นติดตามเพจไหนบ้างแต่ผมจะชอบดาราศาสตร์ก็เลย จะติดตามเพจของคุณมติพลตั้งมติธรรมนักดาราศาสตร์และป๋องแป๋งอาจวรงค์จันทมาศ เขาก็เล่าเรื่องสนุกสนานดีมีการอัพเดทตลอด
ความคิดเห็นต่อวงการวิทยาศาสตร์ในบ้านเรา
คน ไทยเก่งนะ ไม่แพ้ใครในโลกสมัยที่ได้ไปเรียนที่ฮ่องกงมีโอกาสได้เจอคนที่เก่งด้านวิทยา สตร์หลายคนมากบางคนก็จบที่ไทยบางคนก็จบนอกมาเจอมาคุยกันแต่ด้วยระบบการศึกษา อาจทำให้เราพลาดโอกาสหลายอย่าง
เรื่อง “หลักสูตร” ก็เป็นเรื่องสำคัญผมว่ามันไม่อัพเดทเลย ผ่านมาเป็นสิบปีก็ยังเรียนกันอยู่เหมือนเดิม
อย่างหนี่ งคือเรื่องค่านิยมว่าทำไมคนเก่งๆไม่ไปเรียนหมอเรียนวิศวะซึ่งเป็นทางเลือก ของแต่ละบุคคลสมัยนี้สายวิทย์ก็มีอาชีพเยอะแยกย่อยไปมากกว่าที่สมัยก่อน รู้จักเราต้องเรียนเพราะเราอยากเป็นไม่ใช่เลือกเรียน
เพราะค่า นิยมและสิ่งที่บ้านเราต่างจากเมืองนอกคือการเรียน“สายอาชีพ”ผมคิดว่ามันจำ เป็นนะจำเป็นมากเพราะตลาดแรงงานต้องการเฉพาะทางแล้วเขาได้ทำจริงๆแต่ไทยไม่ ค่อยมีค่านิยมที่ดีต่อสายอาชีพมากนัก
ตอนนี้ผมมองว่าตลาดงานสาย วิทยาศาสตร์บ้านเรายังไม่เยอะหรือถ้าเยอะก็ไม่ค่อยมีคนเข้าถึงข้อมูลว่าเขา ขาดคนสาขานี้เหรอมันเทียบกันไม่ได้กับโซนยุโรปอเมริกาหรือจีนที่สายวิทยา ศาสตร์เขาจะแข็งมากสำหรับบริษัทเอกชนก็จะมีหน่วยงานวิจัย R&Dซึ่งบริษัท เอกชนไทยไม่ค่อยมีแต่หลังๆก็เริ่มมีแล้วเป็นสิ่งที่ดีครับที่ผลักดันเรื่อง นี้ขึ้นมา
โปรเจ็กต์ต่อไปของ “วิทย์ เหี้ยเหี้ย”
คิดไว้เยอะมากครับเพจจะยั่งยืนคือต้องเล่นกับกระแสสังคม ถ้าเราลงคอนเทนต์วิทย์แบบแรนดอมซึ่งเราก็ชอบ และลงประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าลงเรื่อยๆ มันจะไม่รู้ว่าอะไรต่อก็เลยจะหันมาเล่นกับเรื่องปัจจุบันที่ได้รับความสนใจ
เล็ง ไว้ว่าจะอัพเดทข่าววิทย์แบบประจำสัปดาห์เพราะแต่ละวันมีข่าวให้อัพเด ท4-5ข่าวแต่ชีวิตต้องทำงานเลยไม่มีเวลามานั่งเขียน(หัวเราะ)ผมอยากให้มี สำนักข่าววิทยาศาสตร์ดีๆในบ้านเราพยายามอยากให้เกิดอาจจะไม่อยู่ในเพจเราอาจ ไปอยู่ที่อื่นแต่เป็นสิ่งที่อยากให้มี
อีกแนวคือมาทางวิดิโอเราจะ เปิดชาแนลยูทูบให้ความรู้ทางวิดิโอที่มีคนมาคอยเล่าเรื่องราววิทย์ๆให้คนฟัง ที่เมืองนอกมีแบบนี้เยอะมากและได้รับความนิยมผมก็ว่ามันง่ายนะก็หาคนทำอยู่ แต่ตอนนี้แอดมินอยู่เมืองไทยมีแค่ผมคนเดียว
แต่ละคนมีงานมีหน้าที่ ของตนเองแบ่งไปสองกลุ่มคือกลุ่มหนึ่งไปทำงานอีกกลุ่มหนึ่งไปเรียนต่อช่วงแรก เจอกันบ่อยเพราะเพิ่งเรียนจบแต่พอเวลาผ่านไปก็ไม่ค่อยได้เจอ แต่เราก็สื่อสารแลกเปลี่ยนไอเดียกันผ่านกรุ๊ปสนทนาต่างๆ พวกเราก็ช่วยกันทำต่อ มีความสุขกับตรงนี้พยายามไม่ให้ขาดครับ...
“รู้สึกว่ายังมีของให้เล่นอีกมีที่ให้เล่นอีกเยอะสำหรับวิทยาศาสตร์แล้วในเมืองไทยยังไม่ค่อยมีและวิทย์เหี้ยเหี้ยจะยังคง“เล่น”ต่อไป”
เปิดพื้นที่สร้างชุมชน “นักสื่อสารวิทยาศาสตร์”
เพจเรามีความตั้งใจจะสร้างคอมมิ วนิตี้ของกลุ่มคนที่เป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์มาแลกเปลี่ยนลถ่ายทอดข้อมูล กันอยากให้มีบล็อกเกอร์มีช่องยูทูบหลายคนมารวมตัวกันเล่าเรื่องราวให้เป็น เรื่องสนุกแชร์ในเรื่องที่ตัวเองรู้เป็นพิเศษมันน่าสนใจช่วยกันสร้างเป็น กระแสขึ้นมา
“ถ้าใครมีคอนเทนต์เด็ดๆ อยากให้ “วิทย์ เหี้ย เหี้ย”ช่วยแชร์ช่วยประชาสัมพันธ์ ก็บอกได้ ร่วมด้วยช่วยกัน ผลักดันให้คิด...แล้วทำเลย ”
อี.โอ.เอส เกียร์,ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,#อุปกรณ์แค้มปิง,#อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต,#มีดดามัสกัส,#เหล็กดามัสกัส