สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล เปิดวังเก่าเล่าความหลัง

จากประชาชาติธุรกิจ

ในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพมหานคร บนถนนหลานหลวง ท่ามกลางตึกรามอาคารพาณิชย์ มีพื้นที่สีเขียวอยู่แปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่หมายตาของนายทุนและชาวต่างชาติ เงินจำนวนมหาศาลถูกเสนอแล้วเสนออีก แต่คำตอบคือ ไม่ เพราะเจ้าของเห็นว่าควรรักษาไว้เป็นสมบัติของวงศ์ตระกูลและสมบัติของชาติ

ภายใต้ร่วมเงาของเหล่าแมกไม้นั้นคือวังวรดิศที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งตกทอดมาแล้ว 4 รุ่น ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของทายาทรุ่นเหลน คือ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รวมอายุวังถึง 104 ปี

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ทายาทรุ่นเหลนซึ่งครอบครองดูแลวังอยู่ในปัจจุบัน ได้เปิดวังต้อนรับแขกเหรื่อเพื่อเปิดตัวหนังสือ "เรื่องเล่าจากวังวรดิศ" ธีมงานย้อนยุค ให้ผู้เข้าร่วมงานแต่งกายชุดไทยสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างบรรยากาศให้เข้ากับเรื่องราวในงานวันนั้น ที่ ม.ล.ปนัดดาเตรียมเรื่องราวของวังวรดิศที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟัง



วังวรดิศมีอายุ104ปี เคยใช้เป็นที่ถวายการรับรองการเสด็จเยี่ยมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายรัชกาล ตลอดจนพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ อีกทั้งได้ใช้เป็นที่ฝึกฝนนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงในการศึกษาวัฒนธรรมตะวันตก ก่อนที่จะจากบ้านเมืองไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ และวังวรดิศยังผ่านเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองมาหลายครั้ง

ยกตัวอย่างสำคัญคือ วังวรดิศกับเหตุการณ์ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ ม.ล.ปนัดดาเล่าความว่า

"วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เช้าวันนั้น สมเด็จทวดกำลังประทับเสวยพระกระยาหารที่ระเบียงวังทางทิศใต้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ รีบเสด็จมาหาสมเด็จทวด แล้วตรัสถามว่า ทรงทราบหรือไม่ว่ามีการยึดอำนาจในพระนคร

สมเด็จทวดตรัสอย่างพระทัยเย็น และยังชวนกันเสวยพระกระยาหารเช้า แต่เสวยได้เพียงไม่กี่คำก็มีคณะทหารเข้ามาล้อมวังไว้ แล้วทั้งสองพระองค์ก็ถูกเชิญเสด็จให้ไปประทับที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าทรงเป็นองค์ประกันนั่นเอง

ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง บ้านเมืองเปลี่ยนไปมาก ความเป็นอยู่ภายในวังก็ลำบาก อีกทั้งสมเด็จทวดท่านทรงมีลูกศิษย์ลูกหามาก ใครจะมาเยี่ยมหรือมาเฝ้าท่านที่วังก็จะเกิดความลำบากใจ เพราะมีตำรวจนอกเครื่องแบบคอยมาแอบจดชื่อเพื่อไปรายงานว่าใครมาเข้าเฝ้าบ้างบางคนจึงแอบไปเข้าทางหลังวัง ซอยด้านตรงข้ามวัดสระเกศ ชื่อถนนดำรงรักษ์เพราะทางนั้นสามารถเชื่อมเข้าประตูด้านหลังของวังได้ แต่ก็ยังถูกรายงานอยู่นั่นเอง

สมเด็จทวดจึงได้ตัดสินพระทัยว่า ไม่อยู่เสียดีกว่า จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย หากท่านอยู่แล้วเขาไม่มาหาก็จะกลายเป็นคนเนรคุณ อกตัญญู ท่านจึงตัดสินพระทัยเสด็จไปประทับที่เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย

ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ขณะนั้นคุณพ่อเพิ่งเรียนจบจากประเทศอังกฤษ และจะเดินทางกลับประเทศไทยโดยทางเรือ สมเด็จทวดทรงทราบข่าวจึงรับสั่งให้เข้าเฝ้าที่ปีนังเสียก่อน ซึ่งจะมีลูกหลานเพียงไม่กี่คนที่ได้ไปเข้าเฝ้า ครั้งนั้น ท่านทรงดีพระทัยมาก ขนาดเสด็จขึ้นไปรับคุณพ่อถึงบนเรือ คุณพ่อเล่าว่า ท่านเห็นสมเด็จทวดทรงกันแสงด้วยความดีพระทัย

ขณะนั้นความเป็นอยู่ภายในวังวรดิศที่กรุงเทพมหานครอยู่ในช่วงลำบากมาก ถึงขนาดต้องเป็นหนี้เป็นสิน สมเด็จทวดทรงแนะนำให้คุณพ่อกลับไปแก้ปัญหา เพราะพระองค์ท่านยังไม่เสด็จกลับ ยังคงประทับต่อที่ปีนัง (รวมเวลาที่ทรงประทับที่ปีนัง9 ปีเศษ) คุณพ่อจึงกลับมาแก้ปัญหาด้วยความวิริยะจนผ่านพ้นช่วงวิกฤตนั้นมาได้

ท่านประทับอยู่ที่ปีนังจนชราภาพมากจึงตัดสินใจส่งพระรูปมาอำลาลูกหลานที่วังวรดิศและมีการสั่งเสียครบถ้วน เมื่อสิ้นพระชนม์จะให้ดำเนินการกับพระศพอย่างไร แต่ถือว่าเป็นโชคดี ช่วงปีสุดท้าย กองทัพญี่ปุ่นเห็นใจสงสาร เพราะทราบว่า พระองค์ทรงพระประชวรมากแล้ว ภายใต้การประสานงานพระโอรสพระองค์หนึ่ง คือ พล.ท.ม.จ.พิสิษฐ์ดิศพงศ์ ดิศกุล ช่วยอำนวยความสะดวกให้กลับสู่ไทย

ขั้นตอนผ่านด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ยังถูกเจ้าหน้าที่เรียกให้สมเด็จฯออกจากรถที่ประทับ ซึ่งเป็นรถคันเล็ก ๆ ที่ประทับมากับพระโอรส พระธิดา เจ้าหน้าที่บอกให้กรมพระยาดำรงฯขึ้นมาบนโรงพัก รายงานตัวว่าได้กลับมาสู่ประเทศไทย แต่ท่านไม่ทันได้ขึ้น เพราะ ม.จ.พูนพิศมัยร้องไห้ บอกว่า นี่หรือที่สมเด็จฯได้ทำประโยชน์หลายอย่างไว้ให้กับชาติบ้านเมืองด้วยความจงรักภักดี

จึงมีนายตำรวจคนหนึ่งที่รู้จักท่านส่งเสียงดังลั่นว่า ฝ่าพระบาทไม่ต้องขึ้นรายงานตัวบนโรงพัก เดี๋ยวเกล้ากระหม่อมจะเป็นธุระจัดการเรื่องนี้ให้ ขอให้ทรงสบายพระทัย

เมื่อกลับมาถึงพระนครเป็นปีที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ วังแห่งนี้ก็ถูกน้ำท่วม ก่อนจะเสด็จกลับวังวรดิศ ทรงประทับเรือแจวไปที่ปราสาทพระเทพบิดร พระบรมมหาราชวัง เพื่อไปกราบบังคมทูลพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาลว่า ข้าพเจ้าได้กลับคืนสู่ประเทศไทยแล้ว ที่หายไปร่วม 10 ปี ด้วยสาเหตุว่าลูกศิษย์จะมาเยี่ยมจะทำให้เขาลำบากใจ ไม่มาก็จะกลายเป็นคนเนรคุณ อกตัญญู สู้ไม่อยู่เสียดีกว่า

คุณพ่อเคยพูดไว้ว่า สมเด็จทวดลำบากมากในช่วงปลายของพระชนมชีพ กลับมาประทับที่วังวรดิศได้ประมาณ 1 ปี ก็สิ้นพระชนม์ หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงสงครามโลก ม.จ.พูนพิศมัยวัน ๆ ไม่ทำอะไร พอหวอดังทีก็คอยก้มยกพระโกศศพ เพราะกลัวแรงระเบิด ยกไปที่โน่นทีที่นี่ที

ด้วยความรักและความผูกพันที่คุณพ่อมีต่อสมเด็จทวดและวังนี้เอง คุณพ่อจึงทำทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาวังอันเป็นมรดกของสมเด็จทวดไว้ ไม่ยอมขายทั้ง ๆ ที่มีคนติดต่อมามากมาย"

ฟังไป คิดภาพตามไป เรื่องเล่าแสนโศกจากอดีตนั้นนำความซาบซึ้งมายังแขกเหรื่อกว่า 100 ชีวิต ที่แต่งกายย้อนยุคนั่งอยู่ในวังวรดิศวันนั้นจนแทบน้ำตาร่วงเลยทีเดียว


ไร่รักษ์ไม้,Eosgear,มูลไส้เดือน,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,victorinox,แปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,servival Kit,ราคา,อร่อย

Tags : ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล เปิดวังเก่าเล่าความหลัง

view