จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
เสมือนหนึ่งว่าจับตัวเองและผู้บริโภคเป็นตัวประกัน เมื่อกลุ่ม “ประมงอวนลาก” แสดงท่าทีแข็งกร้าวประกาศหยุดเดินเรือ พร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป หากรัฐบาลไม่ยอมยืดเวลา “จับ-ปรับ” เรือประมงผิดกฎหมายออกไปในเดือน ก.ย.
มุมหนึ่งการกดดันค่อนข้างได้ผล สะท้อนจากราคาอาหารทะเลในตลาดขายส่งขนาดใหญ่ที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
อีกมุมหนึ่งกลับเกิดข้อเคลือบแคลง... เราควรสนับสนุนให้รัฐบาลผ่อนปรนตามข้อเรียกร้องเช่นนั้นจริงหรือ?
ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจบิดเบือนได้คือ แม้เรือประมงอวนลากจะมีทั้งถูกและผิดกฎหมาย หากแต่เครื่องมือที่ใช้ซึ่งก็คือ “อวนลาก” นั้น เป็นเครื่องมือทำลายล้างทรัพยากรทางทะเลไทยอย่างแท้จริง
ปี 2523 หรือประมาณ 35 ปีที่แล้ว ประเทศไทยแสดงความกังวลต่อเครื่องมือประหัตประหารชนิดนี้ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัดสินใจออกประกาศเพื่อกำราบการเพิ่มขึ้นของเรือประมงอวนลาก ด้วยการ “หยุดจดทะเบียน” และ “หยุดต่ออายุ” อาชญาบัตร
นั่นหมายความว่า เรือประมงอวนลากถูกคุมกำเนิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงที่สำแดงในปี 2558 กลับพบเรือประมงอวนลากจำนวนมากดำเนินกิจการอยู่ และยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเพราะตั้งแต่ปี 2523 จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลเปิด “นิรโทษกรรม” ให้กับเรืออวนลากผิดกฎหมายมาแล้วถึง 5 ครั้ง
กล่าวคือในปี 2523 2524 2525 2532 และ 2539 รัฐบาลเปิดให้เรืออวนลากขึ้นทะเบียน ซึ่งจะได้รับการผ่อนผันให้ประกอบกิจการต่อไปได้ และในปี 2558 ก็มีความพยายามจะเปิดนิรโทษกรรมครั้งที่ 6 เพื่อแก้ปัญหา “ใบเหลือง” ไอยูยู หรือการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่มีการบันทึกรายงาน และไม่มีการควบคุม
เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนการเปิด “นิรโทษกรรม” อย่างเป็นทางการในแต่ละครั้ง จะเกิดการรวมกลุ่มของประมงอวนลากเพื่อกดดันรัฐบาลด้วยการขู่หยุดเดินเรือในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้ว
มูลค่าทางเศรษฐกิจถึงเดือนละ 1.5 หมื่นล้านบาท คือตัวเลขความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย หากเรืออวนลาก 22 จังหวัดทั่วประเทศพร้อมใจกันหยุดเดินเรือ
นั่นเป็นน้ำหนักที่กดดันให้รัฐบาลต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง
งานวิจัยของ สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ นักวิชาการด้านประมง ซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2555 ระบุว่า มีเพียง 33.3% ของผลผลิตที่ได้จากเรืออวนลากทั้งหมด เป็นสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ส่วนอีกประมาณ 66.7% เป็นปลาเป็ด-ปลาตัวเล็กตัวน้อย
นอกจากนี้ รายงานของกรมประมงซึ่งเก็บข้อมูลผลผลิตจากการลงแรงทำประมง 1 ชั่วโมง พบว่าลดลงเรื่อยๆ จากปี 2504 ระยะเวลา 1 ชั่วโมง สามารถจับปลาได้ 298 กิโลกรัม และลดลงเรื่อยๆ กระทั่งปี 2549 เหลือเพียงชั่วโมงละ 14 กิโลกรัมเท่านั้น
ทั้งสองผลการศึกษา ฉายภาพสถานการณ์วิกฤตทะเลไทย และการจับปลาอย่างไร้ความรับผิดชอบ (Over fishing)
“70% ของสัตว์น้ำที่เรือประมงอวนลากจับได้เป็นปลาเป็ด ส่วนอีก 30% เป็นอาหารคน จากตัวเลขนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเรืออวนลากไม่ได้สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ดังนั้นการประกาศหยุดออกเรือจะส่งผลกระทบแค่เฉพาะในธุรกิจสายนี้ไม่ได้ทำให้เกิดผลกับผู้บริโภคอย่างแน่นอน” สุภาภรณ์ ระบุ
ประเทศไทยใช้เวลามากถึง 35 ปี (ตั้งแต่ปี 2523) แต่กลับล้มเหลวในการแก้ปัญหา ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรมประมงเปิดเผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์ว่า ประเทศไทยมีเรือประมงอวนลาก 4,180 ลำ (รวมกับที่ผิดกฎหมายคาดการณ์ว่ามีไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นลำ)
ตรงข้ามกับสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง “อินโดนีเซีย” ที่ได้ผ่านกฎหมายห้ามใช้อวนลาก และกล้าใช้ยาแรงถึงขั้น “ระเบิดเรือ” ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามมาแล้ว ส่วน “มาเลเซีย” ก็กำหนดมาตรการห้ามใช้เครื่องมือทำลายล้างในปี 2559 อย่างเด็ดขาด
การตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันนี้ จึงนับเป็นวันชี้ชะตาอนาคตทะเลไทยอย่างแท้จริง
ไร่รักษ์ไม้,Eosgear,มูลไส้เดือน,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,victorinox,แปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,servival Kit,ราคา,อร่อย