จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
เชียงราย - กำลังทหาร จทบ.เชียงราย พร้อมป่าไม้ ฝ่ายปกครอง บุกยึดที่นายทุนรุกป่าอุทยานขุนแจ พบอดีต ขรก.-นายทุนสร้างบ้านหรู-ปลูกปาล์มนับพันไร่ แถมเจาะไม้ใหญ่หยอดยาฆ่าหญ้าให้ยืนต้นตายซ้ำ เตือนชาวบ้านห้ามร่วมมือ ขู่ไม่เชื่อจับขึ้นศาลทหาร
วันนี้ (14 ต.ค.) พล.ต.พัฒนา มาตร์มงคล ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดทหารบกจังหวัดเชียงราย (กกล.รส.จทบ.ชร.) นายนิพนธ์ จำนงค์ศิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 พ.ต.อ.วีระวุฒิ เนียมน้อย นายสุนทร มหาวงศ์ศนันท์ นายอำเภอเวียงป่าเป้า นำเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหาร และฝ่ายปกครองกว่า 100 นาย เปิดยุทธการ “หยุดยั้ง ทวงคืนผืนป่า อุทยานแห่งชาติขุนแจ” โดยได้เข้าตรวจยึดพื้นที่ครอบครองในเขตอุทยานแห่งชาติขุนแจ บ้านทุ่งยาว หมู่ 7 ต.แม่เจดีย์ อ.เวียงป่าเป้า เนื่องจากมีผู้เข้าไปบุกรุก แผ้วถางทำการเกษตร และปลูกอาคารหลายหลัง
นายนิพนธ์ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ให้ข้อมูลแก่ผู้บัญชาการ กกล.รส.จทบ.ชร. ว่า ปัจจุบันมีพื้นที่ถูกบุกรุกครอบครอง 1,113 ไร่ 1 งาน 28 ตารางวา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ 85 แปลง พื้นที่คาบเกี่ยวแนวกฤษฎีกา 66 แปลง ผู้บุกรุกเข้าข่ายเป็นนายทุน หรือไม่ได้เข้าทำการเกษตร หรืออาศัยอยู่ร่วมกับผืนป่าในฐานะชาวบ้านปกติ 14 ราย รวม 22 แปลง เนื้อที่ประมาณ 251 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวา ซึ่งหลังรับทราบข้อมูล พล.ต.พัฒนาจัดให้กองกำลังเข้าตรวจสอบ พบว่าพื้นที่มีความสูงชัน เป็นป่าเขา รวมทั้งลำห้วยที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่
โดยแปลงแรกเป็นสวนปาล์มพื้นที่กว้างขวาง ระหว่างต้นปาล์มมีต้นไม้ใหญ่ยืนต้น แต่ถูกเจาะที่โคนต้นและหยอดยาฆ่าหญ้าเพื่อให้ยืนต้นตาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ระบุว่าต้นไม้ที่ถูกเจาะจะแห้งตายภายใน 3 ปี จากนั้นจะมีการแผ้วถางและปลูกพืชผลทางการเกษตร นอกจากนี้ยังมีการสร้างบ้านพักอยู่กลางสวน และริมลำห้วยด้วย ภายในบ้านมีโต๊ะทำงาน ห้องนอน ห้องครัว ห้องหนังสือ แต่ไม่พบตัวเจ้าของบ้าน
ฝ่ายทหารตั้งข้อสังเกตว่าผู้ครอบครองไม่น่าจะเป็นเกษตรกร แต่เป็นนายทุนที่เข้าไปรุกป่า และทำสวนปาล์ม รวมทั้งมีแนวโน้มจะขยายการบุกรุกออกไปพื้นที่ด้านข้างอีกเรื่อยๆ ด้วย ทาง กกล.รส.จทบ.ชร.จึงแจ้งให้นายอำเภอเตือนประชาชนในพื้นที่ ห้ามให้ความร่วมมือกับกลุ่มนายทุนทำการเกษตรเพื่อไม่ให้มีการขยายพื้นที่ บุกรุกอีก หากมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีในฐานะผู้สมคบ และต้องขึ้นศาลทหารด้วย
พล.ต.พัฒนากล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นต้นน้ำของลำห้วยงู และอ่างเก็บน้ำดอยงู ที่จะไหลลงสู่แม่น้ำลาวไปหล่อเลี้ยงประชากรอีกนับล้านคน แต่กลับมีการบุกรุกเข้าไปถือครองด้วยการล้มต้นไม้ใหญ่ และทำการเกษตร ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าติดตามมานานกว่า 1 เดือนแล้ว จนแน่ใจว่าผู้ที่ถือครองและทำการเกษตรไม่น่าจะเป็นราษฎรในพื้นที่ที่เลี้ยง ชีพตามปกติ แต่เป็นกลุ่มนายทุน อดีตข้าราชการ พ่อค้าทั้งในและนอกพื้นที่ ทำการปลูกทั้งปาล์ม ยางพารา สร้างสิ่งปลูกสร้าง
ดังนั้น กกล.รส.จทบ.ชร.จึงดำเนินการตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ด้วยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบเป็นรายๆ ไป จากนั้นจะรวบรวบรวมเป็นข้อมูลส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
ไร่รักษ์ไม้,สวนศิริผล,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต