จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
ประเมินผลผลิตอ้อยฤดูหีบใหม่ที่ใกล้เข้ามาถึงช่วงพ.ย.นี้เบื้องต้นหมดสิทธิ์ ลุ้นสร้างสถิติใหม่คาดไปไม่ถึง 100 ล้านตันจากปีที่แล้วทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไว้ที่ 103 ล้านตันเหตุเจอแล้งยาว ฝนมาช่วงปลาย ขณะที่ราคาอ้อยขั้นต้น 57/58 ส่อแววตกต่ำอีกส่งซิกกระทรวงอุตสาหกรรมให้ทำใจยื่นขอกู้ธ.ก.ส.ต่อจับตารวม หนี้เก่าฐานะกองทุนฯส่อเป็นหนี้ 2.4 หมื่นล้านบาท
นายธีระชัย แสนแก้ว ประธานชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน เปิดเผยว่า ชาวไร่และโรงงานได้ประเมินปริมาณอ้อยเบื้องต้นที่จะเข้าสู่ฤดูหีบปี 2557/58 ในช่วงพ.ย.ที่จะถึงนี้มีแนวโน้มสูงที่ปริมาณอ้อยในฤดูหีบนี้จะไม่ถึง 100 ล้านตันจากฤดูการผลิตก่อนหน้าที่ทำไว้ 103 ล้านตันเนื่องจากพบว่าหลายพื้นที่ทั้งภาคกลาง อีสานตอนบน และล่าง ประสบภาวะภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วงมาตกในช่วงท้ายๆ ส่งผลให้อ้อยแล้งผลผลิตในภาคกลางและอีสานมีทิศทางลดลงจากปีก่อนในภาพรวม
นอกจากนี้ยังพบว่าการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต 57/58 ที่จะต้องดำเนินการภายในต.ค.นี้ยังมีทิศทางลดลงตามราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดโลก ที่ขณะนี้มีราคาเฉลี่ยเพียง 15 เซนต์ต่อปอนด์เท่านั้น โดยคาดว่าราคาอ้อยขั้นต้นฤดูใหม่นี้จะอยู่ที่เฉลี่ย 850-900 บาทต่อตัน ขณะที่ฤดูการผลิตปี 56/57 ราคาอ้อยขั้นต้นประกาศที่ 900 บาทต่อตันที่ระดับความหวาน 10 CCS ดังนั้นหากคำนวณต้นทุนที่ชาวไร่อ้อยมีอยู่เฉลี่ยกว่า 1,000 บาทต่อตันจึงเห็นว่ายังคงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องช่วยเหลือชาวไร่ใน เรื่องการสนับสนุนแหล่งเงินกู้เพิ่มค่าอ้อยซึ่งที่ผ่านมาจะเป็นการกู้จาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธ.ก.ส.)
“แนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายจะมุ่งเน้นการ เพิ่มผลผลิตอ้อยในระยะสั้นส่วนการดำเนินงานเรื่องอื่นๆ ยังคงต้องอาศัยเวลาในการหาข้อยุติและช่วงจังหวะที่เหมาะสมเนื่องจากยอมรับ ว่าช่วงนี้ราคาน้ำตาลตลาดโลกตกต่ำการดำเนินการใดๆ จะต้องระมัดระวัง ซึ่งเห็นว่าระบบแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงาน 70:30 ดีอยู่แล้วไม่ต้องเปลี่ยนแต่ควรจะมองในเรื่องของการนำผลพลอยได้มาคำนวณเพื่อ เพิ่มรายได้ให้กับชาวไร่อ้อยเช่น เอทานอล การนำเศษอ้อยไปทำโรงไฟฟ้าชีวมวล”นายธีระชัยกล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวยอมรับว่า ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 57/58 ที่จะประกาศในช่วงต.ค.นี้มีแนวโน้มสูงที่จะต่ำกว่า 900 บาทต่อตันซึ่งเข้าใจว่าที่สุดชาวไร่อ้อยก็คงจะเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุน ธ.ก.ส.ปล่อยกู้ผ่านกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเช่นที่ผ่านๆ มาซึ่งฤดูการผลิตปี 56/57 จากราคาอ้อย 900 บาทต่อตันที่ค่าความหวาน 10 CCS ก็เพิ่มให้อีกตันละ 160 บาท โดยธ.ก.ส.ปล่อยกู้ผ่านกองทุนฯ วงเงินประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันกองทุนอ้อยฯมีรายได้หลักจากการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้า โรงงาน 5 บาทต่อกิโลกรัมหรือคิดเป็นรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีซึ่งรายได้นี้จะนำมาทยอยชำระและตามแผนวงเงินกู้ 1.6 หมื่นล้านบาทจะชำระหมดช่วงต.ค. 58 ดังนั้นหากจะต้องกู้ใหม่ประเมินขั้นต่ำสุดที่ 160 บาทต่อตันวงเงินก็จะอยู่ประมาณ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาทขึ้นอยู่กับปริมาณอ้อยโดยเงินนี้คาดว่าจะเข้ามาช่วงก.พ. 58 เมื่อรวมกับหนี้เก่าช่วงก.พ.ที่คาดว่าจะเหลือ 8,000 ล้านบาทภาระหนี้กองทุนฯกับการกู้ใหม่จะสูงถึง 24,000 ล้านบาท
“การกู้ธ.ก.ส.เพื่อเพิ่มค่าอ้อยตั้งแต่ปี 2551 จะเป็นลักษณะการใช้หนี้เก่าหมดแต่หากต้องกู้ในฤดูการนี้ก็จะเท่ากับเป็นการ กู้ใหม่ทั้งที่เงินเก่ายังใช้หนี้ไม่หมดวงเงินหนี้ก็จะสูงขึ้นการชำระหนี้ก็ จะยาวออกไปและถ้าปีต่อๆไปเป็นปัญหาเช่นนี้อีกจะทำอย่างไร การเพิ่มค่าอ้อยเช่นนี้เป็นเหมือนยาเสพติดไปแล้วแก้ไขยากมากและถ้าเป็นอย่าง นี้การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบก็จะทำยากยิ่งขึ้น ดังนั้นแนวทางคงต้องทำเป็นเรื่องๆ ไป”แหล่งข่าวกล่าว
ไร่รักษ์ไม้,สวนศิริผล,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต