จากประชาชาติธุรกิจ
สถานการณ์การส่งออกรังนกไทยไปยังประเทศจีนยังไม่ดีขึ้น หลังจากที่หน่วยงาน AQSIQ หรือ General Administration for Quality Supervision Inspection and Quarantine ออกประกาศห้ามนำเข้ารังนกทุกประเภทมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เนื่องจากตรวจพบสารไนเตรต (สารก่อมะเร็ง) ปนเปื้อนอยู่ในรังนกสีแดงที่ส่งออกจากประเทศมาเลเซีย ขณะที่ทางออกของการแก้ไขปัญหาอยู่ที่ประเทศ
ผู้ส่งออกจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมสินค้ารังนก ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่สามารถลงนามใน MOU ฉบับนี้ได้
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ออกสำรวจร้านจำหน่ายรังนกในย่านเยาวราช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านขายเครื่องยาจีน พบว่ารังนกที่เคยมีราคาสูงในอดีตกลับตกลงฮวบฮาบจากที่เคยจำหน่ายกันถึง กก.ละ 50,000-60,000 บาท เหลือเพียง กก.ละ 10,000 บาท (ราคาเฉลี่ย) หรือราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2,000 บาท/ตำลึง และราคาสูงสุดอยู่ที่ 9,500 บาท/ตำลึง (1 ตำลึงเท่ากับ 37.5 กรัม) โดยเจ้าของร้านจำหน่ายรังนกรายหนึ่งกล่าวว่า ราคารังนกอบแห้งลดลงมากกว่าร้อยละ 50 มาเกือบปีแล้ว สาเหตุหลังมาจากผู้นำเข้ารังนกในจีนไม่ซื้อรังนกจากประเทศไทย "รังนกที่ราคาตกมากที่สุดคือ รังนกบ้าน ส่วนรังนกเกาะราคาค่อนข้างคงที่หรือลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ปัญหาที่พบทั้งรักนกบ้านและรังนกเกาะก็คือ ยอดขายตกลงไปมาก เนื่องจากผู้บริโภครังนกส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ส่วนคนไทยมีเพียงเล็กน้อย และในช่วง
1 ปีมานี้นักท่องเที่ยวที่มาจากจีนและฮ่องกงไม่ซื้อรังนกกลับประเทศเหมือนเมื่อก่อน"
ทั้ง นี้สาเหตุเพราะคำสั่งห้ามนำเข้ารังนกของจีนครอบคลุมไปถึงการหิ้วหรือพกพานำ เข้ารังนกเข้าประเทศด้วยส่งผลให้ราคารังนกตกลงในประเทศผู้ผลิต จากปัจจุบันที่มีเพียงประเทศอินโดนีเซีย เพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่สามารถลงนามใน MOU กับรัฐบาลจีน อนุญาตให้มีการนำเข้ารังนกได้ ขณะที่ประเทศไทยไม่สามารถลงนามได้ เนื่องจากยังไม่มีการจดทะเบียนผู้เลี้ยงนกนางแอ่นเพื่อการพาณิชย์ (คอนโดฯนก) เพราะนกนางแอ่นยังไม่ได้รับการ "ยกเว้น" ให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจ
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต
