จาก โพสต์ทูเดย์
ซี.พี.ฯ ชี้แนวโน้มข้าวครึ่งปีหลังราคาดี ตามเก้าอี้นายกฯชี้หากเป็นผู้หญิงดันราคาข้าวพุ่ง 40% เพราะรับจำนำอย่างเดียว ส่วนผู้ชายขึ้น 5-10% พร้อมลุยช่องทาง ฟู้ด เซอร์วิส ต่อยอดธุรกิจ
นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าข้าวตราฉัตรในเครือซีพี เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาข้าวในครึ่งปีหลังนี้คาดว่าราคาข้าวน่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยความต้องการข้าวของตลาดดลกเข้ามาช่วยหนุน ส่งผลให้ขณะนี้ประเทศไทยมีการส่งออกข้าวไปยังตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ เดือนละ 1 ล้านตัน ซึ่งหากสามารถรักษาอัตราส่วนการส่งออกให้อยู่ในระดับนี้ได้จะทำให้สิ้นปีนี้ ประเทศไทยจะมีการส่งออกข้าวอยู่ที่ 12 ล้านตัน ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่สูงสุดจากเดิมที่จะมียอดการส่งออกข้าวต่อปีสูงสุดอยู่ ที่ 10 ล้านตัน
“ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไปเชื่อว่าราคาข้าวน่าจะดีขึ้น เนื่องจากขณะนี้หลายประเทศประสบปัญหาผลผลิตข้าวที่ไม่ดีเท่าที่ควร ขณะที่เวียดนามเอง ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งรายหลักของไทยก็เริ่มประสบกับปัญหาการส่งออกข้าวไม่ เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะมีหลายประเทศเริ่มหันมาสั่งซื้อข้าวจากไทยแทนเวียดนาม แม้ว่าราคาขอไทยจะแพงกว่าเวียดนามประมาณ 10 ดอลล่าร์สหรัฐ เนื่องจากคุณภาพข้าวของไทยดีกว่าเวีดนาม”นายสุเมธกล่าว
สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีการปรับราคาขึ้นมาเท่าใดนั้น อาจขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะได้ใครเป็นนายก หากประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงคาดว่าราคาข้าวน่าจะมีการปรับราคา ขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 40% เนื่องจากนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยเน้น การจำนำราคาข้าวข้าวตันละไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาท และข้าวหอมมะลิจะมีการรับจำนำจากราคาตันละ 1.4 หมื่นบาท เป็น 2 หมื่นบาท ไม่ว่าราคาข้าวในขณะนั้นจะเป็นอย่างไรรัฐบาลก็จะรับซื้อในราคาดังกล่าว
ทั้งนี้หากประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ขาย คาดว่าราคาข้างจะปรับขึ้นประมาณ 5-10% เนื่องจากนโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์เน้นไปที่การรับประกันราคาข้าวที่ ตันละ 1.1 หมื่นบาทเป็นตันละ 1.2 หมื่นบาท ซึ่งราคาจะมีการปรับเปลี่ยนตามกลไกของตลาดในขณะนั้น โดยส่วนตัวในฐานะของภาคเอกชนไม่สามารถสรุปได้ว่าเห็นด้วยกับนโยบายของพรรค การเมืองใด เนื่องจากทั้ง 2 นโยบายมีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย ซึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าต้องการจะให้พรรคการเมืองใด เข้ามาบริหารประเทศ
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจผ่านช่องทาง “ฟู้ด เซอร์วิส” ให้มากขึ้นจากปัจจุบันสามารถนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายตามร้านอาหารต่างๆได้แล้ว ประมาณ 768 ร้านทั่วประเทศ เนื่องจากช่องทางขายดังกล่าวมีอัตราการเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 15% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 2,000-3,000 ล้านบาท เพราะคนไทยหันมารับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้นโดยเฉพาะครอบครัวคนรุ่นใหม่ บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ จึงมีแผนที่จะส่งพนักงานขายเข้าไปเจรจาธุรกิจตามร้านอาหารต่างๆ โดยในสิ้นปีนี้คาดว่าจะสามารถขยายช่องทางจำหน่ายผ่านร้านอาหารได้เป็น 2,000 แห่งทั่วประเทศ
ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทรุกขยายช่องทางขายผ่านฟู้ดเซอร์วิสอย่างต่อ เนื่องคาดว่าสิ้นปีหน้าบริษัทน่าจะมีสัดส่วนยอดขายผ่านช่องทางดังกล่าวอยู่ ที่ 25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10% ขณะที่สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท หรือมียอดขายข้าวอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านตัน เติบโต 10% จากปีก่อน แบ่งเป็นยอดขายจากในประเทศ 40% และต่างประเทศ 60%