จาก ประชาชาติธุรกิจ
ตอน นี้ทั่วโลกกำลังจับตาการระบาดของเชื้อแบคทีเรีย "อี. โคไล" ชนิดร้ายแรงในเยอรมนี ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 16 ราย รวมถึง 1 รายในสวีเดน และพบผู้ป่วยในอีกอย่างน้อย 9 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางไปยังเยอรมนี ขณะที่เมืองเบียร์พบผู้ติดเชื้อกว่า 1,500 ราย
แม้เบื้องต้นมีรายงานว่า ต้นตอของเชื้อชนิดนี้มาจากแตงกวาที่นำเข้าจากสเปน แต่หลังตรวจสอบตัวอย่างผักจากทั่วประเทศ 250 ตัวอย่าง พบแตงกวาเพียง 3 ตัวอย่างจากสเปน และ 1 ตัวอย่างที่ไม่ทราบแหล่งกำเนิดที่มีผลทดสอบเชื้ออี. โคไล เป็นบวก ทว่าเมื่อตรวจสอบเพิ่มพบว่าแตงกวาปนเปื้อนเหล่านี้ไม่ใช่ต้นตอของการระบาด ล่าสุด
แม้จะยังไม่พบต้นตอของการแพร่ระบาด แต่เกษตรกรในเยอรมนีได้รับผลกระทบจากการทำลายพืชผักคิดเป็นมูลค่า 7 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ส่วนสเปนสูญเสียรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรคิดเป็น 286 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ เพราะความกังวลของผู้บริโภค
"เอพี" ระบุว่า ถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถหาต้นเหตุของการแพร่ระบาดได้ และยังมึนกับการหาสาเหตุว่า ทำไมเชื้ออี. โคไล สายพันธุ์พิเศษนี้จึงทำให้เกิดอาการในกลุ่ม HUS (hemolytic uremic syndrome) ที่ทำให้ไตวาย ชัก เม็ดเลือดแดงแตก และถึงขั้นโคม่า
สถาบัน โรเบิร์ต โคช ระบุว่า มีผู้ป่วยที่มีอาการ HUS ในเยอรมนี 470 คน ซึ่งโดยปกติแล้วอาการ HUS จะเกิดขึ้นในสัดส่วน 10% ของการติดเชื้ออี. โคไล ซึ่งหมายความว่า ตัวเลขผู้ป่วยในเยอรมนีอาจจะสูงกว่าที่มีรายงานถึง 3 เท่า เพียงแต่อาจไม่ได้มีรายงานเพราะอาการที่ปรากฏไม่รุนแรงนัก
"ดร.ไฮลด์ ครูซ" ผู้จัดการโครงการความปลอดภัยอาหารขององค์การอนามัยโลกประจำยุโรป ตั้งข้อสังเกตว่า สายพันธุ์เฉพาะที่เรากำลังรับมืออยู่ ดูจะเป็นชนิดพิเศษที่ไม่เคยพบมาก่อน
ดร.ครูซกล่าวว่า สายพันธุ์ใหม่นี้มีลักษณะที่ผิดแผกที่ทำให้มีความรุนแรงมากขึ้น และผลิตสารพิษได้
ซึ่ง สอดคล้องกับความเห็นของ"พอล ฮันเตอร์" อาจารย์ด้านการดูแลสุขภาพจากมหาวิทยาลัยอีสต์ แองเกลีย ที่เห็นว่า สายพันธุ์ของเชื้ออี. โคไล ที่ระบาดในยุโรปรอบนี้อาจอันตรายกว่าสายพันธุ์ที่เคยพบก่อนหน้านี้ โดยอาจมีความแตกต่างของยีนที่ทำให้อี. โคไล สายพันธุ์นี้มีความรุนแรงมากขึ้น
ด้าน "นิวยอร์ก ไทม์ส" อ้างความเห็น "ดร. เจ. เกล็น มอร์ริส" ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเชื้อโรค แห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดา มองว่า สายพันธุ์อี. โคไล ในเยอรมนีอาจมีการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือกลายพันธุ์ จนทำให้แข็งแรงมากขึ้น
"ดร.ฟิ ลิป ทาร์" อาจารย์ด้านจุลชีววิทยาแห่งวอชิงตัน ยูนิเวอร์ซิตี้ สกูล ออฟ เมดิซีน กล่าวว่า สารพิษในเชื้ออี. โคไล มี 2 รูปแบบหลัก ๆ และสายพันธุ์ที่ระบาดในเยอรมนีก็เป็นเวอร์ชั่นที่แข็งแรง นอกจากนี้ยังมีลักษณะที่แปลกไปทำให้ผิดไปจากเดิม และยากที่จะตรวจสอบโดยใช้วิธีแบบเก่า
ทั้งนี้ เชื้ออี. โคไล มีสายพันธุ์แตกต่างกันนับร้อย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ร้ายกาจ และโดยธรรมชาติคนเราจะมีแบคทีเรียในร่างกาย แต่จะมีจำนวนน้อยที่เป็นสายพันธุ์อันตราย ซึ่งสายพันธุ์ร้ายแรงนี้จะสามารถผลิตสารพิษได้ และจะเกาะติดในผนังลำไส้ เมื่อปล่อยพิษออกมามาก ๆ ก็จะทำให้เกิดอาการป่วย
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดถึงต้นเหตุของการแพร่ระบาด เพราะผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนเชื้อโรคมักจะหายไปจากตลาดแล้ว ขณะที่การระบุสายพันธุ์เชื้ออี. โคไล นักวิทยาศาสตร์จะต้องเลี้ยงแบคทีเรียชนิดต้องสงสัยในห้องแล็บ ซึ่งต้องใช้เวลา และการทดสอบสายพันธุ์ก็จะกินเวลาอีก รวมทั้งต้องใช้ห้องแล็บที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ
ที่ผ่านมา เชื้ออี. โคไล สายพันธุ์รุนแรงมักพบในระบบย่อยอาหารของบรรดาปศุสัตว์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งเชื้อแพร่ระบาดทางอุจจาระ และอาจปนเปื้อนในน้ำ ทว่าการแพร่ระบาดล่าสุดอาจจะมาจากการปนเปื้อนในพืชผัก
"ไทม์" ระบุว่า ไม่พบเชื้ออี. โคไล ในพืชผักบ่อยนัก แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดปัญหาในของสดที่ไม่ได้ปรุงสุก ซึ่งนี่ทำให้เป็นเรื่องท้าทาย
www.ctv.ca อ้างมุมมอง "ทิม ซลาย" อาจารย์ด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยไรเออร์สัน ว่า อาจเป็นเพราะผักสลัดที่บริโภคไม่ได้ผ่านการปรุงสุก ซึ่งฆ่าเชื้ออี. โคไลได้ และอาจมาจากกระบวนการปลูกพืชออร์แกนิก ซึ่งใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์ ซึ่งหากมีเชื้ออี. โคไล ก็จะเกิดการปนเปื้อน ดังนั้นถ้าจะบริโภคพืชผักออร์แกนิกแบบดิบ ๆ ก็ควรจะให้เน้นเรื่องสุขอนามัยและความสะอาดมากขึ้น