จาก วารสารเทคโนโลยีชาวบ้าน
การุณย์ มะโนใจ
เทคนิคการเปลี่ยนยอดลำไยและลิ้นจี่ต้นใหญ่
พื้นที่ ปลูกลำไยในประเทศไทย ปัจจุบัน มีพื้นที่รวม 922,882 ไร่ พบว่า 95% ของพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ เป็นการปลูกพันธุ์ดอ ส่วนพันธุ์ดีอื่นๆ ที่เหมาะสำหรับการรับประทานสดมีการปลูกที่เหลือพื้นที่น้อยมาก โดยพันธุ์ดีต่างๆ ดังกล่าว ได้แก่ พันธุ์สีชมพู มีพื้นที่ปลูกรวม 17,898 ไร่ (1.94%) พันธุ์แห้ว 13,493 ไร่ (1.46) พันธุ์เบี้ยวเขียว 12,089 ไร่ (1.31%) และพันธุ์กะโหลก ที่มีพื้นที่ปลูกเพียง 459 ไร่ (0.05%)
ข้อมูล จากการสอบถามกับเกษตรกร ผู้ประกอบการ นักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านลำไยต่างๆ พอจะสรุปสาเหตุการเปลี่ยนพันธุ์จากแต่เดิมที่เกษตรกรนิยมปลูกพันธุ์ดีต่างๆ ซึ่งมีคุณภาพเหมาะสมสำหรับรับประทานสด ไปเป็นพันธุ์ดอเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น พันธุ์ดีต่างๆ ดังกล่าวเป็นพันธุ์หนัก ออกดอกและติดผลล่าช้ากว่าพันธุ์ดอซึ่งเป็นพันธุ์เบา การออกดอกติดผลของพันธุ์ดีต่างๆ เหล่านั้นมักจะออกปีเว้นปี ไม่สม่ำเสมอ กิ่งหักง่าย ไม่ทนทานต่อโรคหรือแมลง เป็นต้น พันธุ์ดีบางพันธุ์มีลักษณะเด่นที่หากผู้บริโภคไม่รู้จักแล้วจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นลำไยไม่มีคุณภาพ เช่น พันธุ์สีชมพู ที่จะมีเนื้อออกเป็นสีชมพูเรื่อๆ ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าลำไยขึ้นรา นอกจากนี้ เมื่อนำไปแปรรูปเป็นลำไยอบแห้งจะไม่ได้คุณภาพดีเท่ากับลำไยพันธุ์ดอ จากปัญหาต่างๆ ดังกล่าว ทำให้พันธุ์ดีต่างๆ มีพื้นที่ปลูกลดน้อยลงมาก จนเหลือพื้นที่ปลูกรวมกันไม่ถึง ร้อยละ 5 ของพื้นที่ปลูกลำไยทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่ลำไยพันธุ์ดีต่างๆ เหล่านี้ เมื่อมีโอกาสได้ชิมแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะชอบมากกว่าลำไยพันธุ์ดอ แต่ส่วนใหญ่จะหาซื้อลำบาก เนื่องจากพื้นที่ปลูกลดน้อยลง และส่วนใหญ่เป็นการปลูกไว้เพื่อรับประทานเอง หรือเหลือขายหน้าสวนโดยไม่ได้มุ่งเน้นในเชิงการค้ามากนัก การปลูกลำไยพันธุ์ดอเพียงพันธุ์เดียว มีข้อจำกัดคือ ผลผลิตแก่ช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวและผลผลิตล้นตลาด นอกจากนี้ ยังไม่ได้สร้างความหลากหลายให้กับผู้บริโภค
ผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ มีปลูกมากทางภาคเหนือก็คือ ลิ้นจี่ ซึ่งเป็นไม้ผลตระกูลเดียวกับลำไย เป็นไม้ผลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ปัจจุบันปลูกมากในจังหวัดพะเยา เชียงราย และเชียงใหม่ นอกจากนี้ ยังปลูกทางภาคกลาง เช่น อำเภออัมพวาและอำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม พันธุ์ที่มีการปลูกโดยทั่วไปคือ พันธุ์ฮงฮวย ซึ่งผลผลิตจะออกสู่ตลาดประมาณต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ผลผลิตที่ออกสู่ตลาดจะมีปริมาณมาก ทำให้เกิดการกระจุกตัว ส่งผลทำให้ราคาลิ้นจี่ตกต่ำ ในปัจจุบัน นักวิชาการ รวมถึงเกษตรกรเองได้พยายามหาพันธุ์ลิ้นจี่ที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อน พันธุ์อื่นๆ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดพร้อมๆ กัน และยังเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีความชำนาญการเก็บเกี่ยวลงได้
การนำยอดพันธุ์ดีพันธุ์ใหม่มาเปลี่ยนยอดบนต้นพันธุ์เดิมโดยไม่ ต้องมีการล้มต้นลิ้นจี่ต้นเดิมทิ้งไป ซึ่งถ้านำกิ่งพันธุ์มาปลูกใหม่จะใช้เวลา 2-3 ปี กว่าที่ต้นใหม่จะให้ผลผลิต แต่วิธีการเปลี่ยนยอดพันธุ์ใหม่บนต้นใหญ่พันธุ์เดิมที่ไม่ต้องการจะเป็นการ ช่วยย่นระยะเวลาการออกดอก ติดผลให้เร็วขึ้นได้ วิธีนี้นิยมทำในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องจากมีพันธุ์ที่หลากหลาย บางพันธุ์อาจไม่เหมาะสมกับพื้นที่ จึงมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการเปลี่ยนยอดบนต้นใหญ่ วิธีการดังกล่าวหลังต่อกิ่งได้ประมาณ 1-2 ปี กิ่งที่เปลี่ยนยอดแล้วสามารถออกดอกติดผลได้ แต่ในประเทศไทยยังมีการทำกันน้อยมาก ดังนั้น ในฉบับนี้จึงจะขอกล่าวถึงขั้นตอนและวิธีการเปลี่ยนยอดลิ้นจี่ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ คือ
1. ตัดกิ่งใหญ่ต้นเดิมออก ถ้าเป็นกิ่งที่เป็นกิ่งหลักควรรอให้มีการแตกหน่อกระโดงใหม่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเปลี่ยนยอดบนกิ่งใหม่ที่แตกขึ้นมา
2. การต่อกิ่งจะใช้วิธีการต่อกิ่งแบบเสียบข้าง โดยเลือกกิ่งที่จะเปลี่ยนยอดพันธุ์ ควรเป็นกิ่งตั้งตรง เลือกให้มีขนาดใกล้เคียงหรือใหญ่กว่ายอดพันธุ์ดี ทำได้โดยการตัดยอดต้นตอออก กรีดด้านข้างลงลึกเข้าไปในเนื้อไม้ 2 รอยแผลยาวประมาณ 2.5-7.5 เซนติเมตร (1-3 นิ้ว) ลอกเปลือกออกและตัดเปลือกให้เหลือเปลือกที่ลอกไว้ ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร
3. หลังจากนั้นเตรียมยอดพันธุ์ดี ยาว 5-8 เซนติเมตร (2-3 นิ้ว) เฉือนโคนกิ่งเป็นรูปลิ่มแล้วสอดเข้ากับแผลของต้นตอ
4. พันพลาสติคให้มิดยอด ประมาณ 30 -50 วัน กิ่งพันธุ์ดีจะแทงยอดโผล่ออกจากพลาสติค จึงแกะพลาสติคออก
ส่วน ในลำไย คุณจิรนันท์ เสนานาญ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ คุณพิชัย สมบูรณ์วงศ์ และ ผศ.พาวิน มะโนชัย ผู้ร่วมวิจัย ได้ศึกษาเทคนิคการเปลี่ยนยอดพันธุ์ในลำไยโดยใช้ลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียว เชียงใหม่ สีชมพู และพวงทอง เป็นยอดพันธุ์ดี โดยใช้ต้นเดิมพันธุ์อีดออายุ 5 ปี ซึ่งพบว่า มีเปอร์เซ็นต์การเสียบติดถึง 60-70 เปอร์เซ็นต์ ทั้ง 3 พันธุ์ และมีการผลิใบอ่อนได้ภายใน 2 เดือน ผลิใบได้ 2 ครั้ง ยอดมีการเจริญเติบโตดี รอยแผลเชื่อมได้สนิท ถึงแม้ว่าเปอร์เซ็นต์การเสียบติดอาจยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังคงต้องมีการศึกษาต่อไปถึงช่วงเวลาและฤดูกาลที่เหมาะสมในการต่อกิ่ง
ขั้น ตอนและวิธีการในการต่อกิ่งคล้ายกับการเปลี่ยนยอดในลิ้นจี่ แต่ในลำไยจะมีเทคนิคเล็กน้อยที่จะต่างจากการเปลี่ยนยอดในลิ้นจี่ คือการผลิใบอ่อนของยอดพันธุ์ใหม่ของลำไยที่ต่อบนต้นใหญ่จะมีการผลิใบอ่อน ส่วนใหญ่จะเป็นตาข้าง ซึ่งลักษณะของการพันพลาสติคจะเป็นการพันแบบมิดยอด ดังนั้น ประมาณ 4 สัปดาห์ ต้องมีการเปิดพลาสติคที่พันด้านบนออกเล็กน้อย เพื่อให้ตาข้างสามารถผลิใบออกมาได้ และถ้าเปลี่ยนยอดฤดูฝนต้องกรีดด้านล่างบริเวณรอยแผลเล็กน้อย เพื่อให้น้ำสามารถ ไหลออกจากรอยแผลได้ในกรณีฝนตก ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว แผลจะเน่าทำให้การเปลี่ยนยอดไม่ประสบผลสำเร็จ ส่วนพลาสติคบริเวณรอยแผลให้พันไว้จนกว่ารอยแผลจะเชื่อมติดสนิท ซึ่งอาจจะกินเวลานาน 2-3 เดือน นี่เป็นเพียงแนวทางในการปฏิบัติ หากจะให้เกิดความเข้าใจและเชี่ยวชาญ เกษตรกรต้องมีการลองปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งจะได้มีความเข้าใจมากขึ้นและการขยายพันธุ์โดยการเปลี่ยนยอดบนต้นใหญ่จะ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ท่านผู้อ่านท่านใด สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณจิรนันท์ เสนานาญ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ผศ.พาวิน มะโนชัย ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิจัยและพัฒนาลำไยแม่โจ้-สกว. ศูนย์วิจัยและพัฒนาลำไยแม่โจ้ และ คุณพิชัย สมบูรณ์วงศ์ สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ 50290 โทร. (053) 873-939 ในวันและเวลาราชการ