จากประชาชาติธุรกิจ
แม้ไขมันจะไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายต้องการมากนัก แต่ "ไขมัน" ก็คือ 1 ใน 5 ของหมู่อาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย (นอกเหนือคาร์โบไฮเดรต โปรตีน เกลือแร่วิตามิน) ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการเลือกไขมันหรือน้ำมันเพื่อ บริโภคในแต่ละวัน
น้ำมันหมู เริ่มกลับมาอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคในการนำมาประกอบอาหารอีกครั้ง หลังจากมีกระแสถกเถียงกันระหว่างน้ำมันหมูกับน้ำมันพืชบรรจุขวดผ่านกรรมวิธี เราควรบริโภคน้ำมันประเภทไหนกันแน่
กลุ่มที่เชื่อว่าน้ำมันหมูดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันพืช มีเหตุผลสำคัญยืนยันความเชื่อของตนว่า น้ำมันหมูมีกรรมวิธีการผลิตที่ปลอดภัยปราศจากการใช้สารเคมี เพราะได้มาจากไขมันสัตว์โดยตรง ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด ให้ความหอมในการปรุงอาหารได้ดีกว่า แตกต่างจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ที่ต้องทั้งกลั่น (Refined) ฟอกสี (Bleached) และแต่งกลิ่น (Deodozied) และเมื่อนำมาปรุงอาหารจะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
ส่วนกลุ่มที่เชื่อว่าน้ำมันพืชดีต่อสุขภาพมากกว่า ก็ยืนยันว่าไขมันพืชเป็นไขมันไม่อิ่มตัว มีคอเลสเตอรอลน้อยกว่าไขมันสัตว์ และข้อกล่าวหาที่ว่าแม้น้ำมันพืชจะไม่เป็นไขที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ ไม่สามารถล้างออกได้ และเป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันนั้น ก็เป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน
สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เราควรบริโภคน้ำมันอย่างหลากหลายในปริมาณเพียงเล็กน้อย เพี่อหลีกเลี่ยงภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด โดยประมาณว่า ในจำนวนพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี ที่ร่างกายมนุษย์ต้องการต่อวันนั้น ควรจะเป็นไขมันได้ไม่เกิน 25-30%
ด้าน ดร.เนตรนภิส วัฒนสุชาติ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโภชนาการ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้อธิบายว่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมู ต่างก็เป็นไขมันที่ไม่ควรบริโภคจำนวนมาก แต่ก็คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ทางที่ดีไม่ควรเลือกบริโภคน้ำมันชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียว เพราะน้ำมันพืชมีหลายประเภท อาทิ น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม เป็นต้น
แต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการปรุงอาหารที่แตกต่างกัน ขณะที่น้ำมันจากสัตว์ อาทิ น้ำมันหมู ก็ไม่ได้เลวร้าย เป็นน้ำมันทางเลือกที่สามารถรับประทานได้เป็นครั้งคราว ขอเพียงพิจารณาการรับประทานไขมันให้เหมาะสมกับพลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ก็จะไม่เป็นการสะสมไขมันอันจะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆ ได้
ขณะที่สถาบันอาหาร ได้แนะนำการเลือกใช้น้ำมันให้เหมาะสมกับชนิดและประเภทของการปรุงอาหาร เช่น การผัด ซึ่งจะใช้น้ำมันเพียงเล็กน้อย สามารถจะใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดฝ้าย
ส่วนการทอดอาหารที่ใช้น้ำมันปริมาณมาก และใช้ความร้อนสูงในการประกอบอาหาร เพื่อให้ได้อาหารรสชาติดี กรอบ อร่อย เช่น ทอดไก่ ทอดปลา ทอดกล้วยแขก ทอดปาท่องโก๋ หรือ ทอดโดนัท ควรใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันหมู เพราะหากไปใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งเป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง จะก่อให้เกิดควันได้ง่าย เหม็นหืน และเกิดความหนืด จากสารพิษ "โพลีเมอร์" ที่จะเกิดขึ้นตามมา ส่วนการทำน้ำสลัดประเภทต่าง ๆ ต้องใช้น้ำมันพืชที่ไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะกอก
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันชนิดไหน เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายควรเลือกรับประทานน้ำมันให้แต่เพียงน้อย
ไร่รักษ์ไม้,Eosgear,มูลไส้เดือน,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,victorinox,แปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,servival Kit,ราคา,อร่อย