จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
พื้นที่บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดจากการสะสมของดินตะกอนแม่ น้ำ เป็นแหล่งทำสวนเกษตรที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริถึงพื้นที่แห่งนี้ว่าเป็นผืนป่า กลางกรุงที่ต้องอนุรักษ์ไว้เสมือน "ปอด" ของคนกรุงเทพฯ และคนสมุทรปราการ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิต จิตใจ และสุขภาพกายที่สมบูรณ์ท่ามกลางความเจริญเติบโตของเมือง ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2520 ให้อนุรักษ์พื้นที่สีเขียวบริเวณบางกะเจ้านี้ไว้ และต่อมาก็มีการสร้างสวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติที่ชื่อว่า “สวนศรีนครเขื่อนขันธ์” ขึ้นในเนื้อที่ 148 ไร่ อยู่ในพื้นที่ทางตอนบนของกระเพาะหมู ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ยังคงความอุดมสมบูรณ์ตามแบบสวนเกษตรดั้งเดิมจนถึง ปัจจุบัน ถึงแม้จะมีพื้นที่ใกล้แค่เอื้อมเพียงแม่น้ำกั้นกับย่านใจกลางเมือง ของกรุงเทพฯ อย่างย่านพระราม 3 ย่านคลองเตย และย่านบางนาก็ตาม |
||||
เหตุผลสำคัญที่ทำให้บางกะเจ้ายังคงอนุรักษ์พื้นที่สีเขียว ไว้ได้ ก็คือผังเมืองรวมสมุทรปราการ ที่มีกฎหมายควบคุมการก่อสร้างอาคาร แต่วันนี้ พื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้ากำลังถูกคุกคาม ก็ด้วยผังเมืองรวมสมุทรปราการเช่นกัน แต่เป็นฉบับใหม่ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2557 ที่มีการประกาศกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสมุทรปราการ โดยมีเนื้อหาแก้ไขกฎกติกาผังเมืองให้มีการสร้างบ้านจัดสรรสร้างบ้านเดี่ยวใน พื้นที่สีเขียวได้ ที่ผ่านมา ผังเมืองในบางกระเจ้าแบ่งออกเป็นสองโซนหลัก ได้แก่ โซนสีเขียว ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และโซนสีขาวทแยงเขียวเป็นโซนอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม เดิมทีปี 2544 พื้นที่ขาวทแยงเขียวไม่อนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร ปี 2548 ปรับให้สร้างบ้านเดี่ยวขนาดไม่เกิน 200 ตร.ม.ได้แต่ต้องไม่กินที่เกิน 5% ในแต่ละบริเวณที่กำหนดไว้ในผังเมือง และฉบับ 2556 นี้ปรับให้สร้างได้ไม่เกิน 15% ในแต่ละบริเวณ ส่วนพื้นที่เขียวทึบ ในปี 2548 ให้ก่อสร้างได้ 10% ในแต่ละบริเวณ แต่ไม่ให้นำที่ดินไปจัดสรร ปี 2556 ปรับใหม่ให้นำไปจัดสรรบ้านเดี่ยวได้ (ข้อมูลจาก www.greenworld.or.th : บางกระเจ้า…ผังเมืองใหม่เอื้อตัวกินปอด? โดย ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์) |
||||
ทั้งนี้ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการก็ได้ชี้แจงในประเด็นดัง กล่าวตามสื่อต่างๆ รวมถึงหน้าเพจเฟซบุคของสำนักงานฯ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2557 ว่า “สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการ ชี้แจงกรณีการจัดวางผังเมืองรวมสมุทรปราการในพื้นที่บางกะเจ้า ซึ่งบังคับใช้วันที่ 5 ก.พ. 2557 ว่า พื้นที่บางกระเจ้าถูกกำหนดเป็นพื้นที่อนุรักษ์และพื้นที่สีเขียว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ก.ย.2520 ในปัจจุบันมีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมพื้นที่อยู่หลายฉบับ ได้แก่ |
||||
2. กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสมุทรปราการ ตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 ซึ่งมีการวางผังเมืองครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าวมาแล้ว 3 ฉบับตั้งแต่ปี 2537 โดยกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินสองประเภท ได้แก่ 1.ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ในพื้นที่ชุมชน 2.ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวมีกรอบและเส้นทะแยงสีเขียว) ถ้าพิจารณาจากข้อกำหนดในกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับ (1.กฎกระทวงฉบับที่ 37(พ.ศ. 2537) , 2. กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสมุทรปราการ พ.ศ. 2544 และ 3. กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสมุทรปราการ พ.ศ. 2556 ) |
||||
- ประเด็นที่สอง การเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของกิจกรรมรองในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (ก. 3) จากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 15 นั้น ถ้าพิจารณาจากข้อกำหนดในพื้นที่ ก.3 ในผังปี 2556 นั้น ในกิจกรรมรองร้อยละ 15 นั้นให้ดำเนินการได้เฉพาะ 1.การอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวพื้นที่อาคารรวมไม่เกิน 200 ตารางเมตร 2. การประกอบพาณิชยกรรมที่ไม่ใช่ห้องแถว ตึกแถวพื้นที่ประกอบการไม่เกิน 50 ตารางเมตร |
||||
โดยภาพรวมแล้วผังปี 2556 เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการกำหนดเป็นพื้นที่อนุรักษ์และมิได้เพิ่มเติมข้อ กำหนดเพื่อเอื้อประโยชน์แกนายทุนแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการประสานความต้องการของชาวบ้านทุกฝ่ายให้อยู่ร่วมกันได้อย่าง มีความสุข” การชี้แจงจากโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสมุทรปราการอาจเข้า ใจได้ แต่ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ยังเป็นปัญหานั่นก็คือ การออกประกาศผังเมืองใหม่นี้ไม่มีการทำประชาพิจารณ์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่องผังเมืองใหม่นี้ มารู้อีกทีก็เมื่อประกาศใช้ ทั้งที่ตามกฎหมายแล้วจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ในพื้นที่เสียก่อน |
||||
“ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้อึดอัดกับข้อจำกัดของการสร้างสิ่งก่อสร้าง ต่างๆ วิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่เขาก็ทำสวนเกษตรเป็นหลัก ในผังเมืองเดิมเขาก็ยังมีสิทธิ์ที่จะปลูกสร้างบ้านได้ภายใต้กฎหมาย ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร แต่การที่อยู่ๆ มาขยายการสร้างบ้านจาก 5% มาเป็น 15% นั้นมันเป็นประโยชน์ของผู้ประกอบการที่จะมาทำพื้นที่เหล่านั้นให้เป็นสิ่ง ปลูกสร้างเพิ่มมากขึ้น ทำให้เมืองของเขากลายเป็นตึกรามบ้านช่องมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อประโยชน์ของชาวบ้านมากกว่า” นายศรีสุวรรณ กล่าว นายศรีสุวรรณ ยังกล่าวต่อว่า การดำเนินการตอนนี้คือกำลังรวบรวมหนังสือมอบอำนาจจากชาวบ้านให้สมาคมฯ ดำเนินการฟ้องร้อง โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ที่ร่วมฟ้องน่าจะเป็นร้อยคน ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับผังเมืองนี้ เขาต้องการปกป้องพื้นที่ของเขาไว้เพื่อบรรยากาศที่ดี ไม่ให้กลายเป็นเมืองเหมือนกรุงเทพฯ หรือสมุทรปราการ และเมื่อส่งฟ้องแล้วก็คงต้องขออำนาจศาลให้มีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อ ไม่ให้มีช่องว่างให้ผู้ประกอบการรีบเร่งไปขอใบอนุญาตก่อสร้าง แม้จะยังคาดหวังไม่ได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่ก็มั่นใจข้อกฎหมายว่าเมื่อขั้นตอนกระบวนการมันผิดก็เชื่อว่าศาลจะพิจารณา ไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในด้านความคิดเห็นของชาวชุมชนอย่างคุณลุงบรรจง พรพิรานนท์ ที่ อาศัยอยู่ใน ต.บางกระสอบ 1 ใน 6 ตำบลของกระเพาะหมู ให้ความเห็นว่า ตามความรู้สึกแล้วอยากจะให้บางกะเจ้าคงสภาพไว้แบบเดิม รู้สึกดีที่ความเจริญเติบโตเข้ามาอย่างช้าๆ บรรยากาศก็ดี อากาศก็ดี ไม่อยากให้มีความแออัดเข้ามามาก แล้วในกระเพาะหมูมันเป็นทางตัน เข้ามาแล้วไปไหนไม่ได้ ต้องออกทางเดิม ถนนก็เล็ก การขยายตัวถ้ามันเพิ่มขึ้นมากมันก็จะลำบากกับคนพื้นที่ที่เคยอยู่ คงจะอึดอัด แต่ทั้งนี้ ลุงบรรจงกล่าวว่า ก็ไม่ได้ต่อต้านหรือปิดกั้นหากเจ้าของพื้นที่บางคนที่ต้องการขายที่ดิน ก็เห็นใจเขาเหมือนกัน เพียงแต่ใจจริงอยากให้คงสภาพธรรมชาติแบบเดิมไว้จะดีกว่า ยังไม่มีบทสรุปของเรื่องราวบางกะเจ้าในวันนี้ เพราะกระบวนการในการฟ้องร้องคงต้องดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลานาน ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อตอนจบมาถึง ปอดของกรุงเทพฯ คงไม่ต้องสะเทือนไปมากกว่านี้ |
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต