ป-ป-ช-เผยผลไต่สวนรัฐขายข้าวจีทูจีไม่จริง
จาก โพสต์ทูเดย์
ป.ป.ช.เคาะข้าวจีทูจีของเก๊ พบส่งมอบข้าวไม่ตรงตามสัญญา ไต่สวนเพิ่มเติมอีก 4 กลุ่ม จี้ อคส.ส่งข้อมูลระบายข้าว เตือนเกียร์ว่างโดนแน่
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. นายวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงถึงความคืบหน้าในการไต่สวนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.พาณิชย์ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวว่า ข้อเท็จจริงการจากการไต่สวนได้ความว่าการเจรจาที่อ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ระหว่างรัฐบาลกับผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 2 หน่วยงานปรากฏว่าพยานหลักฐานยังไม่มีน้ำหนักเพียงให้เห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐและพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นมีส่วนร่วมกระทำความผิดในการโครงการดังกล่าว ซึ่งยังไมได้เป็นผู้ถูกกล่าวหามาแต่เดิม ดังนั้น คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติให้ขยายการไต่สวนไปยังบุคคลเพิ่มเติมอีก 5 กลุ่มได้แก่
กลุ่มที่ 1 คือผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว นายอัครพงษ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ
กลุ่ม 2 คือ นายภูมิสารผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว
กลุ่มที่ 3 Guangdong stationery & sporting goods imp.& exp. Corp และ Hainan grain & oil industrial trading company และตัวแทนของหน่วนงานทั้งสอง
กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้แทนฝ่ายจีน ได้แก่ นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายสมคิด เอื้อนสุภา และ นายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด
กลุ่มที่ 5 คือ บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งปรากฎข้อเท็จจริงจากการไต่สวนสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องพบว่าเงินที่ชำระค่าซื้อขายข้าวกับหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนนั้นส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด ประกอบกับบริษัทนี้เคยเป็นนายจ้างในอดีตของนายสมคิด เอื้อนสุภา และ นายลิตร พอใจ
นายวิชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้คณะอนุกรรมการไต่สวนยังตรวจพบว่า การกำหนดให้เป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ทำให้เกิดความเสียหายจากการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด โดยนับตั้งแต่เดือนส.ค.2554ถึงมิ.ย.2556 มีปริมาณส่งมอบข้าวไปยังจีนทุกรายเพียง375,000 ตันเศษ จากปริมาณที่ส่งมอบตามสัญญาจำนวน 4,800,000 ตัน ซึ่งกรมศุลกากรได้ยืนยันว่าในห้วงเวลาดังกล่าวไม่มีข้าวส่งออกโดยผ่านพิธีการศุลกากรแต่อย่างใด
ทั้งนี้มีการอ้างว่าไม่ใช่เป็นการส่งอออกแต่เป็นการซื้อหน้าคลังสินค้า ดังนั้น คณะอนุกรรมการไต่สวนจะเร่งดำเนินการไต่สวนเพื่อพิจารณาว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีกหรือไม่ และจะได้พิจารณาดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวดังกล่าวต่อไปโดยเร็ว
"สาเหตุที่ยังไม่สามารถสรุปแจ้งข้อกล่าวหาในวันนี้เพราะว่ามีผู้อำนวยการท่านหนึ่งที่ดูแลองค์การคลังสินค้า(อคส.)ไม่ยอมมอบเอกสารหลักฐานที่เก็บไว้ให้กับป.ป.ช.ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญ เราเห็นว่ามีความจำเป็นมากที่ต้องเร่งดำเนินการเพราะว่าขณะที่ที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟอาจทำให้เอกสารเหล่านี้ถูกเผาไปด้วย อันตรายมากเลย ดังนั้น ป.ป.ช.จะเร่งประสานขอเอกสารพร้อมกับขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการด้วย ถ้าองค์การคลังสินค้าให้ความร่วมมือกับป.ป.ช.ก็สามารถไต่สวนเรื่องนี้ได้เร็ว" นายวิชา กล่าว
นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการและรองโฆษกคณะกรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า เอกสารที่ป.ป.ช.ต้องการนั้นมีความจำเป็นอย่างมากเพื่อใช้รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการขนส่งข้าวของตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้พยายามประสานขอเอกสารจากหัวหน้าคลังสินค้ากลางในต่างจังหวัดแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ทำให้คณะกรรมการป.ป.ช.วันนี้มีความเห็นว่าให้ไปขอความร่วมมืออีกครั้งและถ้ามีความจำเป็นก็สามารถใช้อำนาจตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 มาตรา 25 เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าวได้
"ถ้าได้เอกสารตรงนี้จะสามารถขมวดทุกประเด็นและนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาได้ต่อไป กรณีนี้ถือว่าเป็นมหากาพย์เพราะมีผู้ใหญ่และผู้น้อย ภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่เกี่ยวข้อง"นายประสาท กล่าว
เมื่อถามว่า เมื่อป.ป.ช.ได้พบความผิดปกติเกี่ยวกับเส้นทางการเงินการซื้อขายของบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด แล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายวิชา กล่าวว่า ในกรณีนี้จะต้องรวบรวมหลักฐานที่เป็นเช็คเงินสดอีกเป็นจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่เบื้องต้นได้ความชัดเจนแล้วว่ามีการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศ
"มีทั้งการจ่ายเงินจากสยามอินดิก้ารวมทั้งบริษัทต่างๆที่ตั้งขึ้นมาที่เกี่ยวกับการค้าข้าว รวมทั้งมีกรณีของโควต้าสลากก็มี เราพบว่ามีการไปเอาข้าวโดยไม่ต้องมีใบมอบอำนาจทั้งที่ควรต้องมีใบมอบอำนาจและใบส่งสินค้า ซึ่งป.ป.ช.จะตรวจสอบต่อไปว่าไปเกี่ยวข้องกับโควต้าวสลากได้อย่างไร" นายวิชา กล่าว
เมื่อถามว่าบริษัทของจีนสามารถไม่ให้ความร่วมมือได้หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า บริษัทต่างประเทศก็สิทธิ์ได้ แต่ก่อนหน้านี้ได้มีหนังสือมายังป.ป.ช.ว่าป.ป.ช.ไม่มีข้อมูลและการดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ประเด็นดังกล่าวถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับป.ป.ช.เพราะป.ป.ช.มีหน้าที่ไต่สวนการทุจริต
นายวิชา กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวขณะนี้มีการกู้เงินมาทำโครงการจนเต็มวงเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 5 แสนล้านบาทแล้วจนต้องออกเป็นพันธบัตรเพราะไม่สามารถกู้เพิ่มได้อีกแล้วตามที่มีข่าวออกมา ส่วนกรณีไต่สวนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเรื่องการระบายข้าวผ่านรูปแบบข้าวถุงเช่นกัน ซึ่งเป็นคำร้องที่มีคณะสว.และนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นเข้ามา แต่ป.ป.ช.ไม่ได้ไต่สวนกรณีข้าวถุงรวมกับประเด็นอื่นๆเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนกัน
ปปช.ขยายเวลาไต่สวนเพิ่มจำนำข้าว
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ป.ป.ช. ขยายเวลาไต่สวนเพิ่มจำนำข้าว หลังพบข้อมูลเกี่ยวข้องอีกหลายรายทั้งไทย- จีน เตรียมขอเอกสารสำคัญใบส่งข้าว ผอ.คลังสินค้า
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ วันที่ 3 ธ.ค.56 เวลา 14.00 น. นายวิชา มหาคุณ ประธาน ป.ป.ช. ได้แถลงข่าวถึงความคืบหน้าการไต่สวนโครงการรับจำนำและระบายข้าวกรณีที่มีการกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการจำนำข้าวเพื่อติดตามความคืบหน้าคณะทำงานแต่ละชุด ที่ได้รับมอบหมายให้การตรวจสอบเอกสาร การตรวจคลังสินค้า การเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำต่างๆ ซึ่งจากการไต่สวนได้ความว่าการเจรจาที่อ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้แทนหน่วยงานสาธารณรัฐประชาชนจีน ปรากฏข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานว่ายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะให้เห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายรัฐต่อรัฐ และยังพบด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นมีส่วนร่วมกระทำผิดในโครงการดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งยังไม่ได้ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหามาตั้งแต่เดิม ดังนั้นจึงมีมติให้ขยายการไต่สวนไปถึงบุคคลเหล่านั้นคือ 1.ผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ประกอบด้วย นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว และนายอัครพงษ์ ทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ
2. นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ที่เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงครั้งนั้น 3.ผู้แทนเจรจาฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบด้วย GUANGDONG (กวางตุ้ง) STATIONERY & SPORTING GOODS IMP. & EXP. CORP. และ HAINAN (ไห่หนาน) GRAIN & OIL INDUSTRIAL TRADING COMPANY และตัวแทนของหน่วยงานทั้งสอง 4.กลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้แทนฝ่ายจีน ประกอบด้วย นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนสำคัญเกี่ยวข้องกับ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด และ 5.บ.สยามอินดิก้า จำกัด ที่จากข้อเท็จจริงจากการไต่สวนเกี่ยวกับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องพบว่า การชำระเงินกับหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายของจีนนั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับบ.อินดิก้า จำกัด ประกอบกับบริษัทนี้เคยเป็นนายจ้างของนายสมคิด และนายลิตร
นอกจากนี้คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ยังตรวจพบว่า การกำหนดให้เป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ทำให้เกิดความเสียหายจากการขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.54 -มิ.ย.56 มีปริมาณส่งมอบข้าวไปยังจีนทุกรายเพียง 375,000 ตันเศษ จากปริมาณที่ต้องส่งมอบตามสัญญา จำนวน 4.8 ล้านตัน ซึ่งกรมศุลกากรยืนยันว่าในห้วงเวลาดังกล่าวไม่มีข้าวส่งออกโดยผ่านวิธีการศุลกากรแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีคณะอนุกรรมการฯ จะได้เร่งดำเนินการไต่สวนเพื่อพิจารณาว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีกหรือไม่ และจะได้พิจารณาดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหาต่อไปโดยเร็ว โดยเรื่องนี้มีการอ้างว่า ไม่ได้ซื้อแบบส่งออก แต่ส่งที่หน้าคลังสินค้า ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของส่งออก
"เหตุที่ยังไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ในขณะนี้ เพราะมี ผอ.ท่านหนึ่งดูแลคลังสินค้า ไม่ยอมมอบเอกสารหลักฐานที่สำคัญมาซึ่งเราได้ให้โอกาสท่านแล้ว แต่เราเห็นว่ามีความจำเป็นเหลือเกินที่ต้องเร่งดำเนินการเพราะว่า บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เอกสารอาจจะถูกเผาทำลายไปด้วย "นายวิชา กล่าวและว่า ในการติดตามเอกสารดังกล่าวหากไม่ได้รับความร่วมมือก็จะดำเนินการตามมาตรการต่อไป ซึ่งภายใน 1-2 วันนี้ จะให้สื่อมวลชนลงพื้นที่กับเรา เพื่อจะได้เห็นว่า ป.ป.ช.จะไปเอาเอกสารอะไร พร้อมกับประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในการลงพื้นที่ด้วย ซึ่งการไต่สวนเรื่องนี้จะเสร็จเร็วหรือไม่ขึ้นอยู่ว่า ผอ.คลังสินค้าจะส่งมอบเอกสารให้เมื่อใด
เมื่อถามว่าเอกสารที่จะนำมานั้นสามารถเป็นหลักฐานชี้มูลความผิดและแจ้งข้อกล่าวหาได้เลยหรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า แน่นอน เมื่อถามว่าในส่วนของผู้แทนประเทศจีน จะไม่ให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ได้หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า จีนมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ความร่วมมือก็ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางจีนมีหนังสือแจ้ง ป.ป.ช. ไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่กลับมากระทำการลักษณะจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของ ป.ป.ช.เห็นว่าความสัมพันธ์ เป็นคนละเรื่องกับการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้ เมื่อถามว่า การไต่สวนความผิดจะไปไม่ถึงนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า กรณีของนายกฯ มีการกล่าวหาแยกอีสำนวนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะให้คณะอนุกรรมการไต่สวนหรือไม่
ด้านนายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า เรื่องเอกสารดังกล่าวมีความจำเป็นมาก เพราะว่าเราปฏิบัติงานเพื่อจะรวบรวมเอกสารโดยเฉพาะใบส่งสินค้าตามจังหวัดต่างๆ ที่เราลงพื้นที่ ซึ่งได้พบหัวหน้าคลังสินค้ากลางจังหวัดในพื้นที่ แต่มีความขัดข้องในการส่งมอบใบส่งสินค้าให้เราทั้งที่ได้ประสานเบื้องต้นบอกว่าส่งมอบ แต่สุดท้ายไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องใช้กฎหมาย ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการให้ได้มาซึ่งเอกสาร โดยวันนี้จึงมีมติให้ขอความร่วมมือส่งมอบเอกสาร แต่ถ้ามีความจำเป็นก็ต้องใช้กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 25 ยึดอายัดเอกสารมาเพื่อตรวจสอบ ก่อนที่จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องนี้ต่อไป อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ครอบครองเอกสารหากไม่ส่งมอบเอกสารให้แล้วจะมีความผิดหรือไม่ ก็ต้องพิจารณาอีกครั้ง ซึ่ง ป.ป.ช.อาจจะกันบุคคลที่ให้ความร่วมมือไว้เป็นพยาน โดยไม่ดำเนินคดีก็ได้
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต