จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com) | ||||
แต่เมื่อขึ้นไปแล้วบอกได้เลยว่าบนนั้นสวยงามคุ้มค่าน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญเหนือไปกว่าการพิชิตยอดเขาก็คือการได้“พิชิตใจ”ตัวเองที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคขึ้นไปยืนบนนั้นได้ |
||||
ยอดเขาโมโกจูมี“หินเรือใบ”เป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่น ของป่าแม่วงก์ ตั้งอยู่บนความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล สามารถชมวิวได้ 360 องศารอบทิศทาง บนนี้นอกจากจะเป็นจุดชมทะเลหมอก ชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกแล้ว ยังมี“ทะเลบล็อกโคลี่”ให้ชมกันอย่างเพลิดเพลิน ทะเลบล็อกโคลี่เป็นคำที่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ใช้เรียกขานทิวทัศน์ของผืนป่ายามเมื่อมองลงมาจากยอดโมโกจู เพราะมันดูเขียวขจีมองไกลๆคล้ายแปลงบล็อกโคลี่ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมอยู่เต็ม ผืนป่าเบื้องล่าง แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแม่วงก์ นับเป็นความภูมิใจของชาวพิทักษ์ป่าอช.แม่วงก์ที่สามารถดูแลรักษาป่าใหญ่ผืน นี้ให้คงความสมบูรณ์เอาไว้ให้ลูกหลาน แต่ถ้าเกิดมีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ขึ้นอย่างเลือดเย็น นอกจากความภาคภูมิใจของเหล่าพิทักษ์ป่าในอช.แม่วงก์จะถูกทำลายลงโดยอดีตเจ้า นายเก่าของเขาแล้ว นี่ยังถือเป็นโครงการการทำลายป่าครั้งมโหฬารอีกครั้งหนึ่งของเมืองไทย |
||||
ตลอดเวลา 5 วัน 4 คืนในเส้นทางพิชิตยอดโมโกจู(เดินขึ้น 3 วัน ลง 2 วัน) ระหว่างทางขึ้น-ลง ผมได้พบกับร่องรอยของสัตว์ป่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น เก้ง กวาง หมูป่า หมาใน เม่น กระทิง สมเสร็จ ช้าง โดยเฉพาะร่องรอยของเสือโคร่งที่ปรากฏให้เห็นกันชุกทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น “รอยตีน”ที่มีให้เห็นเป็นระยะๆและเยอะเป็นพิเศษที่โป่งสัตว์ “ขี้เสือ”ที่มีทั้งกองใหม่-เก่า ขี้กองใหม่บางกองสดถึงขนาดยังเปียกชื้นแถมยังมีขนและกีบของเหยื่อที่มันกินติดปนมาด้วย “รอยข่วน”ที่ทิ้งไว้ตามต้นไม้เพื่อประการศักดาและลับเล็บไปในตัว “สเปรย์”(กลิ่นพิเศษของเสือปล่อยออกมาคล้ายฉี่)ที่ปล่อยทิ้งไว้เพื่อแสดงอาณาเขต อย่างไรก็ดีนี่ไม่ใช่เรื่องชวนแปลกใจแต่อย่างใด เพราะป่าแม่วงก์ปัจจุบันถือเป็น “ดงเสือ”ที่สำคัญของเมืองไทย เนื่องจากที่นี่มีป่าดิบผืนใหญ่อันอุดมสมบูรณ์ มีอาณาเขตเชื่อมต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า“อุ้มผาง”และป่ามรดกโลกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า“ห้วยขาแข้ง” ซึ่งต่างชุกชุมไปด้วยสิงสาราสัตว์ |
||||
สำหรับเสือโคร่งถือเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืน ป่า เพราะในระบบนิเวศของผืนป่า เสือเป็นสัตว์นักล่าที่ที่อยู่บนยอดพีรามิด เมื่อมีเสือชุกก็แสดงว่ามีสัตว์อาหารของเสือ อย่างเช่น เก้ง กวาง กระทิง มาก นั่นหมายความว่าป่าแห่งนั้นต้องมีความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ให้สัตว์ใน ห่วงโซ่อาหารดำรงคงอยู่ไปตามวิถีของมัน ดังคำกล่าวที่ว่า “เสือพีเพราะป่าปก ป่ารกเพราะเสือยัง” |
||||
สำหรับจุดที่คาดว่าจะถูกใช้สร้างเป็นสันเขื่อนแม่วงก์นั้นอยู่ที่ “แก่งลานนกยูง” แห่งป่า“แม่เรวา” ที่เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าแม่วงก์ ซึ่งนักการเมืองผู้ต้องการสร้างเขื่อนบางคนอ้างว่า บริเวณนี้เป็นป่าเสื่อมโทรม แต่ความจริงที่นี่ยังมีต้นไม้ใหญ่อยู่มากหลาย โดยเฉพาะต้นกระบากยักษ์ อายุกว่า 200 ปี วัดรอบลำต้นได้กว่า 600 เซนติเมตร นอกจากนี้ที่แก่งลานนกยูงยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยอันสำคัญของ“นกยูง” อีกหนึ่งในดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ซึ่งบริเวณนี้คือถิ่นที่อยู่อาศัยสำคัญของนกยูง ดังจะเห็นได้จากชื่อแก่งลานนกยูงที่เรียกขานมาแต่ช้านาน แต่หลังจากที่ป่าแห่งถูกผู้คนบุกรุก มีการฆ่า ทำร้าย และทำลายแห่งอาหารนกยูง ทำให้นกยูงตามธรรมชาติสูญหายไปเป็นจำนวนมาก |
||||
นกยูงที่แม่เรวาส่วนใหญ่เป็นนกยูงไทย อีกหนึ่งพันธุ์สัตว์หายากใกล้สูญพันธุ์ของโลกพบในไม่กี่ประเทศ ซึ่งปัจจุบันที่ป่าแม่เรวามีการสำรวจพบนกยูงอาศัยอยู่ประมาณ 20 ตัว แบ่งเป็น 2 ฝูง ฝูงละประมาณ 10 ตัว แต่ละฝูงมีตัวผู้ 1 ตัวเป็นหัวหน้าฝูง |
||||
ถ้าเกิดมีการสร้างเขื่อนขึ้นนกยูงเหล่านี้ไม่รอดแน่ เพราะพวกมันไม่สามารถบินสูงพอที่จะหนีมวลน้ำมหาศาลที่ท่วมสูงนับสิบเมตรได้ อีกทั้งแหล่งหากินของพวกมันยังถูกทำลายลงไปอีกด้วย ส่วนใครที่บอกว่า ป่าสร้างได้ สัตว์ป่าสร้างได้ เพื่อทดแทนสิ่งที่สูญเสียไปจากการสร้างเขื่อน เขาอาจจะเอาเสือเลี้ยงจากสวนเสือมาปล่อยได้ แต่มันจะอยู่ได้หรือเปล่าไม่รู้ ส่วนนกยูง(ไทย) และสัตว์อีกหลายชนิดที่ต้องตายลงจากการสร้างเขื่อน เขาจะสร้างอย่างไร? หรือว่าเขาจะลงมือผสมพันธุ์สัตว์ด้วยตัวเอง ขณะที่ความเป็นป่าสมบูรณ์นั้นชั่วชีวิตของเขาก็ไม่สามารถสร้างป่า สมบูรณ์อย่างป่าแม่วงก์ได้ เพราะช่วงที่เป็นเจ้ากรมป่าไม้ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าในบ้าน เราได้ |
||||
ป่าแม่วงก์มีเนื้อที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ กำแพงเพชร 279,050 ไร่ และนครสวรรค์ 279,700 ไร่ ป่าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตก ผืนป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งถ้าเชื่อมรวมกับผืนป่าในพม่าที่มีอาณาเขตติดต่อกัน ป่าใหญ่ผืนนี้คือป่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นป่าใหญ่ใน อันดับต้นๆของเอเชีย ป่าแม่วงก์มีสภาพของผืนป่าอันหลากหลาย อาทิ ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบเขาสูง หรือป่าเมฆ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง อีกทั้งยังมีป่าสักธรรมชาติผืนใหญ่ มีสัตว์ป่าไม่น้อยกว่า 549 ชนิด นอกจากเสือโคร่ง นกยูงแล้ว แม่วงก์ยังมีสัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์อย่าง สมเสร็จ เลียงผา และเก้งหม้อ และสัตว์หายากอย่าง ช้าง กระทิง วัวแดง เสือดาวเสือดำ หมีหมา หมีควาย เป็นต้น |
||||
นับเป็นความหลากหลายทางชีวภาพของป่าแม่วงก์ ที่ในรายงาน EHIA กลับบอกว่าเป็นป่าที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่มีแต่สัตว์เลื้อยคลาน ที่สำคัญคือสำรวจมาได้ว่าป่าแม่วงก์ไม่มีเสือ งานนี้สงสัยจะต้องให้ทีมสำรวจไปนอนในป่าสัก 3-4 คืน ณ บริเวณทางเสือผ่าน ที่ทางอุทยานฯตั้งกล้องอินฟาเรดบันทึกภาพเสือไว้ เผื่อจะได้เจอเสือตัวเป็นให้เผ่นกันป่าราบบ้าง |
||||
จะเห็นได้ว่าป่าแม่วงก์เป็นป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีทั้ง ป่าสมบูรณ์ สัตว์อุดม ไม่ใช่พื้นที่ปลอดสัตว์ที่จะให้ใครบางคนมาหาผลประโยชน์สร้างเขื่อนแล้วโกง กินกันสะดือปลิ้น ซึ่งโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้นไม่ได้มีเพิ่งไอเดียบรรเจิดมาในปีนี้ หากแต่มีแนวคิดมาตั้งแต่ปี 2528 แต่หลังจากการศึกษาผลดีผลเสียนับ 10 ปี ในปี 2545 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติไม่เห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผล กระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ พร้อมเสนอให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลับไปศึกษาเพิ่มเติม ในเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ ในลักษณะบูรณาการมากกว่าที่จะเสนอให้มีการสร้างเขื่อนเป็นทางเลือกเดียวเท่า นั้น ทำให้โครงการนี้ต้องพับไว้ จนกระทั่งหลังเกิดเหตุการณ์วิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ซึ่งปัญหาหลักเกิดจากความผิดพลาดและล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล แต่รัฐบาลกลับจับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนั้นมาเป็นตัวประกันปลุกผีโครงการ ก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ขึ้นมาใหม่ โดยมีมติ ครม.ในวันที่ 10 เม.ย.55 อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์โดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันปัญหา น้ำท่วม |
||||
อย่างไรก็ดีจากข้อมูลเชิงวิชาการและเชิงคุณภาพนั้นชี้ชัดว่าการสร้าง เขื่อนแม่วงก์นั้นได้ไม่คุ้มเสีย(ข้อมูลหาอ่านได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ต) สู้นำเงินนับหมื่นล้านที่จะใช้สร้างเขื่อนไปพัฒนาลุ่มน้ำ พัฒนาแก้มลิง สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ฝายชุมชน และมาใช้ลงทุนในการบริหารจัดการน้ำตามที่มีผู้เชี่ยวชาญได้สำรวจ วิจัย นำเสนอข้อมูลไว้แล้วเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนจำนวนมากจะออกมาคัดค้านไม่เอาเขื่อนแม่วงก์ “หยุดเขื่อน No Dam!!!” คือพลังเสียงจากผู้ไม่เอาเขื่อนแม่วงก์ที่ส่งสารให้สังคมรับรู้ ส่วน “Damn It !!!” คือถ้อยคำที่ใครหลายๆคน ฝากส่งไปให้กับนักการเมืองชั้นเลวบางคนที่กระเหี้ยนกระหือรือ จ้องจะทำลายผืนป่าแม่วงก์ |
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต