สวยปลอม ยอมเสี่ยง
โดย : วรุณรัตน์ คัทมาตย์, ศากุน บางกระ
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ความสวยความงามกับหญิงสาวเป็นของคู่กัน แต่หากความสวยที่ว่ามาพร้อมกับการเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ
ก็คงต้องชั่งใจกันว่าจะเลือก 'สวย' ไม่สนใครหรือใส่ใจ 'ชีวิต' ให้ปลอดภัยไว้ก่อน
. . .
"เคยใส่บิ๊กอายแบบมีสีค่ะ อยากเปลี่ยนลุค มีเพื่อนแนะนำมาให้ แต่ใส่แล้วเคืองและคัน ตาแห้ง จนต้องเลิกใส่"
"ตอนนั้นต่อผมเพราะอยากผมยาวมากๆ ไปต่อตามร้านที่ตั้งเรียงๆ กันในห้าง สักพักกาวมันลอกหลุดเป็นแผ่นๆ เหมือนเป็นรังแค ก็เลยเอาออก"
"ใส่บิ๊กอายแล้วดูแบ๊วน่ารักขึ้น ไม่มีคนแนะนำ อยากใส่เอง เห็นจากทางอินเทอร์เน็ตก็เลยสั่งทางเว็บ ใส่แล้วตาแดง รู้สึกว่ามันสกปรกมากกว่าเลนส์ปกติ บางทีใส่แล้วตาเหลืองก็มี ตอนนี้เห็นมีที่หยอดตาให้มันวิ้งๆ แต่ยังไม่เคยลอง"
นี่คือตัวอย่างบางส่วนจากการสำรวจที่ 'จุดประกาย' สุ่มสอบถามวัยรุ่นหญิง (นิสิต-นักศึกษาจากหลายสถาบัน) ที่นิยม 'แต่งสวย' ด้วยตัวช่วยต่างๆ จนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ สอดคล้องกับข้อมูลตามบอร์ดในเว็บไซต์ยอดนิยมของวัยรุ่น ซึ่งพบว่ามีการโพสต์ข้อความพูดคุยกันถึงเรื่องการเติมแต่งความสวยด้วยตัวช่วยเหล่านี้อยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้นยังพบอีกว่ามีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยยังคงตกหลุมพรางไปใช้บริการแต่งเติมเสริมสวยที่ไม่ได้มาตรฐาน
"เพื่อนเราเห็นคนอื่นใส่เหล็กดัดฟันแล้วเห็นว่าสวยดี ก็เลยไปดัดบ้าง ไปร้านที่มันเปิดเป็นซุ้มนะไม่ใช่คลินิก หรือโรงพยาบาล ตามร้านจะถูกกว่าเพราะว่าวัสดุที่ใช้ทำไม่ใช่เหล็กที่ใช้ดัดฟันโดยเฉพาะแต่เป็นลวด ตอนแรกไม่มีอะไรผิดปกติ จนประมาณ1เดือนมีคนทักว่าปากเหม็น เพื่อนเราก็แก้ตัวไปว่าคนใส่เหล็กดัดฟันเป็นแบบนี้ทุกคนแหละ แต่พอผ่านไปอีกประมาณ1อาทิตย์ เพื่อนเราก็งงว่าทำไมมีกลิ่นเหล็กออกมาจากปาก ก็ลองส่องกระจกดู ปรากฏว่าสนิมขึ้นเต็มเหล็กดัดฟันเลย เพื่อนเรารีบไปหาหมอให้หมอถอดเหล็กดัดฟันออก หมอบอกว่าต้องฉีดยากันบาดทะยักไว้ก่อนนะเพราะสนิมเยอะพอสมควร" วัยรุ่นคนหนึ่งโพสต์ข้อความเตือนภัยไว้ในเว็บไซต์เด็กดีดอทคอม
ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีการเตือนโดยแพทย์แล้วว่าการติดสิ่งของที่ไม่ได้มาตรฐานเหล่านี้เข้าไปในร่างกาย เป็นความ 'สวยเสี่ยง' แต่สาวๆ สมัยนี้ก็ไม่หวั่นเกรงกันสักเท่าไหร่ ส่วนผู้ผลิตเองก็เน้นผลิตสินค้าตัวช่วยเสริมสวยชนิดใหม่ๆ ออกมาโน้มน้าวใจผู้บริโภคมากมายหลายประเภทมากขึ้น เรียกว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าสามารถหาตัวช่วยเอามาเสริมสวยกันได้หมด
การเติมแต่งที่ว่านี้ ว่ากันเฉพาะการประทินโฉมแต่ภายนอกเท่านั้น ยังไม่นับรวมถึงการศัลยกรรม กิน ทา หรือฉีดสารเคมีเข้าไปในร่างกายเพื่อปรับเปลี่ยนโครงหน้า ปรับสีผิว เพิ่มขนาด หรือลดสัดส่วนที่ไม่พึงประสงค์ แค่นับตัวช่วยที่แต่งเติมเฉพาะภายนอกก็จำแนกกันแทบไม่ไหว แต่แฟชั่นสวยเสี่ยงที่ยังคงมาแรงอยู่เสมอเห็นจะเป็นการใส่บิ๊กอาย ดัดฟันแฟชั่น ต่อผมปลอม ต่อเล็บอะครีลิค และสินค้าน้องใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมคือ ยาหยอดตาขาวใส ที่ระบุว่าใช้แล้วตาจะสดใสวิ้งๆ เหมือนตาลูกกวาง
อันตรายใกล้ตา
ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ สาวๆ หลายคนจึงอยากมีแววตาสดใสชวนมองอยู่เสมอ แต่การจะได้มาซึ่งดวงตาใสๆ แลดูสุขภาพดีนั้น ควรมาจากการถนอมรักษาให้ถูกวิธีไม่ใช่ตกหลุมพรางไปกับยาหยอดตาที่โฆษณาเกินจริง
จากข้อมูลพบว่ายาหยอดตาแบบนี้มีหลายยี่ห้อ ส่วนใหญ่จะเน้นกับผู้บริโภคว่าเป็นสินค้ายอดนิยมจากประเทศญี่ปุ่นหรือเกาหลีและอวดอ้างสรรพคุณต่างๆ นานา เช่น ยี่ห้อ A ระบุว่า ช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของดวงตา แก้อาการติดเชื้อ อาการคัน และตาแดง ถนอมรักษาดวงตาจากการใช้สายตานาน ตาแห้ง ระคายเคือง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน มีส่วนประกอบของวิตามิน E, B6, โปแตสเซียม, โซเดียม, อะมิโน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยให้ดวงตาดูสดใสดุจดั่งกวางน้อย บำรุงดวงตาให้สดชื่นสุขภาพดี สะอาด ลดอาการปวดตาแสบตาได้ มี hyalulonic acid เพิ่มความยืดหยุ่นชุ่มชื่นให้แก่ดวงตา เพิ่มออกซิเจนให้กับดวงตา เป็นต้น
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้อธิบายถึงยาหยอดยาประเภทนี้ว่ามีอันตรายสูง เนื่องจากยาหยอดตาประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมียาขยายม่านตาผสมอยู่เพื่อให้ใช้แล้วตาดูกลมโตสดใสเหมือนตาการ์ตูน แต่รู้หรือไม่ว่าเมื่อม่านตาขยายเต็มที่จะรับแสงแดดเข้ามาเต็มที่เหมือนเลนส์กล้องถ่ายรูปที่เปิดรูรับแสงให้กว้างที่สุด แสงจ้าจะรวมเข้ามาสู่ดวงตาและเผาจอตา ทำให้จอตาเสื่อมสภาพ จุดรับภาพตาเสื่อม พูดง่ายๆ ก็คือทำให้ตาบอดหรือสูญเสียการมองเห็น นอกจากนั้นก็ยังก่อให้เกิดอีกหลายอาการ เช่น ทำให้เป็นต้อกระจกตรงเลนส์ตา หรือวุ้นตาเสื่อม เวลามองคนไข้จะเห็นจุดดำลอยไปลอยมา
"เวลาที่ม่านตาขยายมากๆ มันอาจจะดูสวยจริง แต่พอโดนแสงแรงๆ เข้าไปก็พังหมดเลย อาการเริ่มแรกคือดวงตาจะแก่ก่อนวัย แทนที่จะค่อยๆ เสื่อมตามวัย ปกติคนเราอายุ 40 ตาก็จะเริ่มเสื่อม แต่ทีนี้พอเราหยอดตาแบบนี้บ่อยๆ ก็อาจจะทำให้ตาเสื่อมเร็ว อย่าลืมว่าบ้านเราไม่เหมือนเกาหลีญี่ปุ่น จีน หรือประเทศฝั่งตะวันตกที่บางช่วงแดดเขาไม่ร้อน เขามีฤดูหนาวที่ยาวนาน แต่บ้านเราเป็นเมืองร้อน ยิ่งตอนนี้อากาศร้อนมากๆ ฉะนั้นถ้าเดินออกกลางแจ้งแล้วหยอดตาแบบนี้ด้วยก็เท่ากับเอาจอตาไปเปลือยใส่แสงแดด เหมือนทำจอตาแดดเดียว"
แม้จะเห็นว่าส่วนผสมของยาหยอดตาขาวใสไม่น่าจะมีอันตราย แต่ในความเป็นจริงหมอกฤษดาให้ความเห็นว่า แม้จะไม่มีสารอันตรายชนิดรุนแรงแต่ในแง่ที่ระบุว่าช่วยลดความเมื่อยล้าให้ดวงตา ตรงนี้ยังไม่มีงานวิจัยชิ้นใดออกมารองรับว่ายาหยอดตาสามารถทำได้
"คนขายมักจะหลอกให้เราคิดไปเองว่าเขาใส่สารอาหารต่างๆ ลงไปเยอะ หยอดแล้วจึงทำให้ตาใส คือทำให้ผู้บริโภคเห็นภาพแบบนั้นแล้วทำให้เข้าใจไปเองว่ายานี้ทำให้ตาหายเมื่อยล้าได้จริง ผู้บริโภคก็เห็นว่ามันตรงจุด มันเติมเต็มในสิ่งที่เขาต้องการพอดีจึงทำให้หลงเชื่อได้ง่าย ในความเป็นจริงยานี้เสี่ยงมาก ดวงตาควรเป็นอวัยวะที่ควรถนอมมากที่สุด ทั้งส่วนของวุ้นตาและจอตา ถ้าจะหยอดเพราะอยากสวยแบบนี้เรียกว่าเป็นความสวยแบบเสื่อมๆ ให้สามคำเลย ถ้ายังหยอดต่อๆ ไปนะ คือ บอด แน่ แน่ "
สวยจัด(ป่วย)หนัก
ไม่เฉพาะยาหยอดตาใสเท่านั้น แต่ยังมีอันตรายจากตัวช่วยเสริมความงามอื่นๆ อีกที่น่ากลัวไม่แพ้กัน เริ่มจากคอนแทคเลนส์แฟชั่นหรือบิ๊กอายทั้งหลาย ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อธิบายว่า ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์นานเกินไปหรือใส่นอนจะทำให้แสบตา เคืองตา เนื่องจากกระจกตาเป็นส่วนที่ไม่มีเลือดไปเลี้ยง ฉะนั้นเวลาใส่คอนแทคเลนส์ลงบนกระจกตาจึงเหมือนการเอาเชือกไปรัด จึงทำให้มีเส้นเลือดแดงๆ เรื่อๆ เหมือนเป็นรัศมีออกมารอบๆ ตาดำหรือบริเวณตาขาว หากพบอาการแบบนี้ให้พึงระลึกไว้ว่ากระจกตาอาจเสียไปแล้ว เพราะไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอหรืออาจมีการติดเชื้อเกิดขึ้น
"บริเวณไหนมีการสัมผัสกับคอนแทคเลนส์ บริเวณนั้นคือแหล่งรวมเชื้อโรค ฉะนั้นวิธีแก้ไขง่ายๆ ก็คือใส่แล้วถอด แม้แต่คอนแทคเลนส์ประเภทที่ใส่นอนได้ก็ไม่ควรใส่นอน หรือวันหยุดก็ไม่ต้องใส่ ปล่อยตาให้พักผ่อนบ้าง แต่หากมีอาการเคืองตาจนต้องใช้ยาหยอดตาช่วย ก็ควรเลือกชนิดที่ปราศจากสารกันเสื่อมสภาพ(ไม่ใช่สารกันบูด) ดูฉลากหรือถามเภสัชกรก็ได้ว่ายาตัวนี้ปลอดสารเสื่อมสภาพไหม เพราะว่าตัวสารกันเสื่อมนี่แหละที่ทำให้ตาเรายิ่งระคายเคือง"
ส่วนการใส่เหล็กดัดฟันแฟชั่น นายแพทย์ท่านเดิมให้ความรู้ว่า หากวัยรุ่นไปดัดฟันแบบเถื่อนหรือดัดโดยไม่มีข้อบ่งชี้ ไม่มีการตรวจโดยหมอฟัน เป็นเรื่องที่อันตรายแน่นอน เพราะการที่ใส่ของแปลกปลอมเข้าไปในปากจะทำให้รับสิ่งปนเปื้อนเข้าไปในร่างกาย ในกรณีใช้วัสดุที่มีอันตราย เช่น ลวดที่มีตะกั่วหรือปรอทเจือปน ก็เหมือนกับคนไข้อมพิษนี้อยู่ตลอดเวลา และพิษพวกนี้จะปล่อยออกมาเรื่อยๆ อย่างปรอทจะมีผลทำลายสมอง ประสาทเสื่อม และสะสมในร่างกายด้วย นอกจากนี้ยังมีเชื้อแบคทีเรียสะสม ที่ไหนมีเหล็กดัดฟันที่นั่นก็จะมีเชื้อโรคไปเกาะอยู่ เหมือนเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของเชื้อโรค ทำให้สุขภาพช่องปากไม่ดีและโยงไปถึงสุขภาพร่างกายแย่ไปด้วย เพราะเชื้อโรคจากปากสามารถเข้าไปถึงลิ้นหัวใจได้ ต้องระวังโรคลิ้นหัวใจอักเสบหรือลิ้นหัวใจติดเชื้อ หรือแม้แต่ลิ้นหัวใจรั่วที่เกิดจากเหล็กดัดฟันที่ไม่ได้คุณภาพ
ไม่เฉพาะดวงตาและฟันเท่านั้น เส้นผมกับเล็บก็ไม่เว้น แฟชั่นต่อผมต่อเล็บที่ดูเหมือนจะเบาๆ ไม่มีอะไรน่ากลัว ที่จริงแล้วถ้าใช้ของไม่มีคุณภาพก็ก่อให้เกิดเชื้อราได้ กรณีนี้ หมอกฤษดา บอกว่ามีความน่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะหากเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะจะรักษายาก หากมีอาการรุนแรงหรือเชื้อราลุกลามไปตามรูรากผม กลายเป็นโรคเชื้อราเรื้อรัง รากผมติดเชื้อ หรือหนังศีรษะติดเชื้อ ก็ต้องรักษากันเป็นปี
"เคยเจอคนไข้ที่มาด้วยอาการเล็บเป็นฝี คือคนไข้ไปต่อเล็บอะครีลิคแล้วอักเสบ ติดเชื้อตรงจมูกเล็บลุกลามกลายเป็นฝีจนถึงขั้นต้องถอดเล็บออกเพื่อรักษา ตอนถอดเล็บนี่ต้องบอกว่าเจ็บที่สุด เจ็บตั้งแต่ฉีดยาชา พวกนี้เวลาติดเชื้อมันจะเป็นที่โคนเล็บ มันลึก ฉะนั้นกินยาไปมันก็เอาไม่อยู่ เพราะมันซ่อนอยู่ข้างใต้ ก็เลยต้องเปิดมันออกแล้วรักษาตรงที่เกิดจึงจะหาย คนไข้จะปวดตุบๆ นอนไม่หลับ กลายเป็นว่าต่อเล็บมาสวยๆ แต่พอติดเชื้อก็ต้องเสียเล็บไป"
สวยได้ ไม่เสี่ยง
แม้ว่าจะทราบถึงอันตรายของตัวช่วยเสริมความงามเหล่านี้ แต่สาวๆ บางคนยังคงอยากสวยไม่กลัวเสี่ยง ปรากฏการณ์เช่นนี้ หมอกฤษดาอธิบายว่า มีสาเหตุจากหลายประการ ข้อแรก มาจากเหตุผลทางจิตใจเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากวัยรุ่นหญิงอยู่ในวัยที่ต้องการเป็นจุดเด่นของคนรอบข้าง รักความสวยความงาม เมื่อเห็นว่ามีสินค้าหรือตัวช่วยอะไรที่เพิ่มความสวย ความน่ารักได้ก็มักหลงเชื่อ ซื้อมาใช้หรือไปใช้บริการเสริมสวยที่ไม่ได้มาตรฐาน ข้อสอง เกิดจากกระแสสังคม เวลาสื่อโฆษณาพูดถึงเรื่องเสริมสวย มักจะพูดถึงการเสริมสวยในลักษณะนั้นๆ ว่ายืนยันโดยเซเลบ หรือไอดอลจากเกาหลีซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ทำให้สาวๆ เข้าใจไปเองว่าถ้ามาจากเกาหลีแปลว่าดีมีมาตรฐาน
"เขาก็ไม่ได้บอกนะว่าสิ่งนั้นมันมีมาตรฐานจริง แต่พอคนได้ยินคำว่าเกาหลีบ่อยๆ เข้า ก็เข้าใจไปเองว่าดี อีกข้อที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์สวยแบบเสื่อมๆ คือการที่เขารู้สึกว่ามันสามารถตอบโจทย์ในใจเขาได้ คือเขาต้องการความง่าย ถ้าบอกว่าทำอย่างนี้แล้วสวยแต่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ นะ เขาก็จะไม่เอา ขอสวยแบบเร็วๆ เลือกสวยทางลัดซึ่งมันเสี่ยงกับการเจ็บป่วย ความจริงคือไม่มีอะไรที่เร็วแล้วดีในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นทางลัด ส่วนสาเหตุข้อสุดท้ายคือ เห็นเพื่อนใช้แล้วดีก็เลยใช้ตาม ซึ่งมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป ถ้ามันใช้ได้ดีกับเพื่อนเราก็ไม่ได้แปลว่ามันจะดีกับเรา มันอาจจะรุ่งกับคนนั้นแต่อาจจะร่วงกับเราก็ได้ บางคนอาจจะแพ้ง่าย โดนสารเคมีอะไรเข้าไปก็เกิดเอฟเฟคได้มากกว่าอีกคน เพราะสุขภาพคนเราไม่เหมือนกัน"
หมอกฤษดา ยังแสดงความเห็นอีกว่า จริงๆ แล้ว ความสวยความหล่อไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ก็ได้ ไม่ต้องพึงของปลอมเหล่านี้เพราะมันประดิษฐ์ได้ชั่วคราวเท่านั้น หากคนเราสวยหล่อแบบประดิษฐ์เกินไปมันก็จะเหมือนพิมพ์นิยม แต่งออกมาแล้วเหมือนกันหมด
"คงไม่มีใครอยากสวยอยากหล่อแบบโหลๆ เพราะฉะนั้นวิธีง่ายๆ คือทำให้เราดูดีจากภายในสู่ภายนอก กลับไปสู่สูตรเดิมคือ 'ต้องอย่าเบื่อที่จะดูแลสุขภาพ' มันอาจจะใช้เวลา แต่อย่างที่บอกว่าถ้าเลือกสวยทางลัดมันก็จะแย่ ร่างกายจะเสื่อมเร็วหรืออาจจะเป็นการสั่งลาก็ได้ ฉะนั้นการสวยหล่อจากข้างในน่าจะดีกว่า ถ้าเรามีต้นทุนสุขภาพที่ดี เช่นใช้สูตรตามอายุรวัฒน์ก็ได้คือ กินคะน้า ปลาทูสองตัว และออกกำลังกายทุกวัน แบบนี้ก็จะทำให้สุขภาพดี
และต้องมั่นใจในตัวเองว่าเราก็มีจุดเด่นไม่แพ้คนอื่น เชื่อว่าสังคมเราอยากเห็นความสวยที่มันเป็นความสวยเฉพาะของคนๆ นั้นมากกว่าความสวยแบบของปลอม เพราะ 'สวยแบบปลอมๆ เท่ากับยอมเจ็บป่วย'
ที่สำคัญต้องคิดว่าทุกคนมีความหล่อความสวยอยู่ในตัวอยู่แล้ว ทุกคนมีความพิเศษในตัวเอง ถ้าดึงความพิเศษออกมาได้นั่นคือความสวยและหล่ออย่างแท้จริง
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต