จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
ASTVผู้ จัดการออนไลน์ – ในช่วงหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์โลก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นนครใหญ่อันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่มี แห่งอื่นใดสามารถเปรียบเทียบได้ ที่นี่เป็นแหล่งแห่งความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด เป็นแหล่งค้าขายระหว่างประเทศ เป็นแหล่งวิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมอันหลากหลาย เป็นอู่อารยธรรมอีกแห่งหนึ่งในซีกโลกตะวันออก เทอร์เทียส แชนดเลอร์ (Tertius Chandler, 2458-2543) นักประวัติศาสตร์อิสระ ที่ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์โลกแนวก้าวหน้า ได้เคยศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณจากแหล่งต่างๆ เอาไว้ในหนังสือ Four Thousand Years of Urban Growth อันมีชื่อเสียงของเขา หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 2530 ศ.จอร์จ โมเดลสกี (George Modelski) แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตันได้ ศึกษาเรื่องนี้มานานและเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ในหนังสือ World City -3000 to 2000 ซึ่งเป็นเรื่องราวการวิวัฒน์ของเมืองต่างๆ ทั่วโลกในระยะเวลา 5,000 ปี คือ จากช่วงก่อนคริสต์ศักราช 3,000 ปี จนถึง ปี ค.ศ.2000 แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่มีการเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งชื่อ "อยุธยา" ได้ปรากฏในทำเนียบ 16 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษย์ และเรื่องนี้ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ นั่นคือการศึกษาเปรียบเทียบแบบเดียวกันกับมหานครนิวยอร์กในศตวรรษที่ 20 กรุงลอนดอนในทศวรรษที่ 1900 และย้อนหลังไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบุล) เมื่อก่อนคริสต์ศักราช 600 ปี หรือ เมืองเจริโค (Jericho) เมื่อ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทั้งหมดเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยที่นำมนุษย์เข้าสู่อีกยุค หนึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรมหรือการค้า แต่ละเมืองล้วนสิ้นสุดยุคแห่งความยิ่งใหญ่ต่างกันไป บางแห่งถูกเมืองอื่นๆ ร่วมยุคเดียวกันแซงหน้าในด้านความใหญ่โตและจำนวนประชากร และ บางแห่งสิ้นสุดลงเพราะถูกทำลาย... ภายใต้การศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดแบบ "ถึงก้นครัว" ตั้งแต่เรื่องการผลิตและจ่ายแจกอาหารในหมู่ประชากร รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตในอุบัติภัยร้ายแรงต่างๆ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ได้พบว่ากรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ในช่วงต้นคริสต์วรรษที่ 18 ด้วยประชากรราว 1,000,000 คน ช่วง 400 ปีของกรุงศรีอยุธยานั้น นักการทูตชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีด้วยได้เคยบันทึกเอาไว้ ว่า เป็นเมืองที่สวยงาม .. แต่น่าเสียดายที่ถูกพม่าโจมตีและเผาทำลายราบในปี ค.ศ.1767 (พ.ศ.2310) และศูนย์กลางของราชอาณาจักรใหม่ได้ย้ายลงไปยังกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน. |
||||
ภาพ วาดของชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีเมื่อ 300 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นวัดวาอาราม ปราสาทราชวังและกิจกรรมในแม่น้ำเจ้าพระยา นักการทูตฝรั่งเศสบันทึกเอาไว้ว่า "อูเดีย" เป็นเมืองที่สวยงาม.. นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่พบว่า เมืองหลวงของราชอาณาจักรสยามแห่งนี้เคยมีประชากรถึง 1,000,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุคสมัย. |
||||
รถ ม้าสะท้อนความเป็นตะวันตก ขบวนช้างบ่งบอกความเป็นตะวันออก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นแหล่ง "ปะทะ" ระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับตะวันออก หลายอาณาจักรมุ่งไปยังที่นั่นเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและประกอบการค้าขาย ในยุคที่อยุธยาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจำนวน ประชากรถึง 1,000,000 คน. |
||||
|
||||
|
||||
ภาพ เขียนของชาวฝรั่งเศสเมื่อครั้งเจ้าพระยาโกษาปาน อัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงศรีอยุธยาไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ในกรุงปารีส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองราชอาณาจักร ในยุคทองของ "อูเดีย" ที่มีประชากรถึง 1,000,000 คน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มศึกษาและได้ข้อมูลตรงกัน อยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลกในยุคสมัยหนึ่ง. |
||||
|
||||
ภาพ จากเว็บไซต์ขององค์การยูเนสโกที่ขึ้นทะเบียนกรุงเก่าเป็นมรดกโลกหลายปีก่อน เศียรพระพุทธรูปที่จมอยู่ในต้นไทร สะท้อนการล่มสลายอันขมขื่นของกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 ที่นี่เคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโลกแห่งยุค เป็นอีกแห่งหนึ่งที่แตกดับลงจากการศึก หลายแห่งล่มสลายไปกับภัยธรรมชาติ บางแห่งพังทลายลงเพราะไม่อาจผลิตอาหารให้พอเลี้ยงดูประชากรได้. |
||||
1. เจริโค (Jericho) ใหญ่ที่สุดของโลกในยุค 7,000 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 2,000 คน ตั้งอยู่ระหว่างทะเลแดงกับภูเขานีโบ (Mt Nebo) เป็นโอเอซิสใหญ่ที่สุด ใช้น้ำจากแม่น้ำจอร์แดน ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่าบันทึกเอาไว้ว่า เจริโคเป็น "เมืองแห่งต้นปาล์ม" อยู่กันต่อมาอีกหลายยุค และเสื่อมไปกับกาลเวลา 2. อูรุค (Uruk) ใหญ่ที่สุดในยุค 3,500 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 4,000 คนเป็นเมืองหลวงของแคว้นกิลกาเมช (Gilgamesh) ในมหากาพย์ และเชื่อกันว่าคือเมืองเอเร็ค (Erech) ทีสร้างโดยกษัตริย์นิมรอด (King Nimrod) ในคัมภีร์ไบเบิ้ล อยู่ใกล้แม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates River) ศูนย์กลางการเกษตรและการค้า สงครามในภูมิภาคที่เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2000 BC ยืดเยื้อข้ามศตวรรษ ต่อมาเมืองอูรุคถูกทิ้งให้ร้างไปในยุคก่อนที่ฝ่ายอิสลามเข้าครอบครอง 3. มาริ (Mari) เมืองหลวงแคว้นมีโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ในยุค 2000 BC ประชากร 50,000 ในยุคของกษัตริย์สุเมเรียน (Sumarite) หลายพระองค์ ก่อนเข้าสูยุคอาโมเรียน (Amorite) มีการสร้างพระราชวังขนาด 300 ห้อง ล่มสลายลงใน 1759 BC ถูกยึดรองโดยกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) แห่งบาบีลอน ในทศวรรษที่ 1930 นักโบราณคดีฝรั่งเศสค้นพบจารึกภาษาสุเมเรียน 25,000 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเมืองและเศรษฐกิจ จารึกนี้ทำให้คนรุ่นปัจจุบันรู้จักสภาการณ์ในยุคนั้น 4. อูร์ (Ur) เป็นเมืองท่าสำคัญในอ่าวเปอร์เซียในยุค 2100 ก่อนคริสตกาล ประชากร 100,000 คน ค้าขายกับทั่วโลก ราว 500 BC ถูกทิ้งเป็นเมืองร้างเพราะภัยแล้งที่เกิดจากแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศทางไหล แต่ยังเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ต่อมา การขุดค้นในทศวรรษ 1850 พบซากมนุษย์จำนวนมาก เป็น "เมืองแห่งคนตาย" (City of the Dead) หรือ นีโครโพลิส (Necropolis) 5. หยินซู (Yinxu) รุ่งเรืองในช่วง 1300 BC ประชากร 120,000 คน เติบโตจากหมู่บ้านเล็กๆ ในอาณาจักรจีนโบราณเป็นแหล่งที่ค้นพบจารึกบนกระดูกสัตว์ที่เรียกว่า ออราเคิลโบน (Oracle Bone) จำนวนมาก เขียนด้วยอักษรจีนโบราณ เมืองทรุดโทรมลงและถูกทอดทิ้งในสมัยราชวงศ์โจว (Zhou Dynasty) 6. บาบีลอน (Babylon) รุ่งเรืองสุดขีดในช่วง 700 BC พลเมือง 100,000 เป็นศูนย์กลางความร่ำรวยแห่งยุคสมัย กษัตริย์ทรงอำนาจและอิทธิพล เป็นแหล่งของสวนลอยบาบีลอน กับหอคอยแห่งบาเบล (Tower of Babel) คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวเอาไว้ว่า ชาวบาบีลอนเชื่อมั่นในพระเจ้าและพยายามปีนป่ายไปสู่สวรรค์ ราว 538 BC กษัตริย์ไซรัส Cyrus) แห่เปอร์เซียยาตราทัพทวนแม่น้ำยูเฟรติสเข้าตี ปล้นสะดมบาบีลอนจนแหลกคามือ 7. คาร์เถจ (Carthage) รุ่งเรืองโดดเด่นในปี 300 BC พลเมือง 100,000 ได้ชื่อเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ก่อนที่จะถูกกองทัพโรมันที่เหนือกว่าเข้าโจมตีและเผาจนวายวอดและทำลายทุก สิ่งทุกอย่างเมื่อ 146 ปีก่อนคริสตกาล 8. โรม (Rome) ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ.200 ประชากร 1,200,000 คน เลี้ยงดูชาวเมืองด้วยอาหารจากยุโรปและรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในรูปภาษี ชีวิตอันสุขสบายของชาวโรมันสะท้อนได้ดีมากในภาพยนตร์เช่น แกลดิเอเตอร์ (Gladiator) ที่นำแสดงโดยรัสเซล โครว์ (Russell Crowe) กับวาวควีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) แต่ปี ค.ศ.273 โรมเหลือประชากรอยู่ราว 500,000 เริ่มเข้าสู่ยุคมืด (Dark Age) 9. คอนสแตนนิโนเปิล (Constantinople) เจริญสุดขีดในปี ค.ศ.600 ประชากร 600,000 คน เป็นศูนย์กลางการค้าขาย อาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลในยุคของจักรพรรดิฟลาวีอุส เฮราคลีอุส ออกัสตัส (Flavius Heraclius Augustus) สงครามเปอร์เซียปี 618 ทำให้การส่งอาหารและพืชผลการเกษตรจากอียิปต์หยุดชะงัก พลเมืองเริ่มอดอยากและเหลือเพียงประมาณ 1 ใน 10 ของจำนวนเมื่อ 18 ปีก่อนหน้านั้น 10. แบกแดด (Bagdad) ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในปี ค.ศ.900 ประชากร 900,000 คน ได้ชื่อเป็นศูนย์กลางของยุคทองแห่งศาสนาอิสลาม เป็นศูนย์กลางของศิลปะและวิทยาการหลายแขนงที่โลกอิสลามใช้มาจนถึงยุค ปัจจุบัน แบกแดดเฟื่องฟูอยู่ 300 ปีเศษ ก่อนจะถูกกองทัพมองโกลรุกรานและถูกตีย่อยยับลงในปี 1250 11. ไคเฟิง (Kaifeng) เป็นเมืองใหญ่มากใน ค.ศ.1200 ประชากร 1,000,000 คน ตัวเมืองป้องกันแน่นหนาด้วยกำแพงถึง 3 ชั้น แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของมองโกลในการศึกที่ยืดเยื้อ 30 ปีเศษและปี 1234 ไคเฟิงก็แตกพ่าย ราษฎรหลบหนีไปคนละทิศละทาง ที่นี่ยังมีชุมชนชาวยิวโบราณใหญ่โตที่สุดในจีนอีกด้วย 12. ปักกิ่ง โดดเด่นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1500 ประชากร 1,00,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุค แต่แพ้ภัยตัวเองเพราะไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรที่มากมายได้ ราษฎรบุกถางป่าตัดไม้ทำบ้านเรือนที่อาศัยและเผาถ่านเป็นเชื้อเพลิง จนโล่งเตียน ส่งผลกระทบด้านสภาพแวดล้อมสะท้านสะเทือนไปทั่วภูมิภาค 13. กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองหลวงอาณาจักรสยามโบราณอยู่กว่า 400 ปี แต่ขึ้นนำหน้าทุกเมืองในโลกในปี ค.ศ.1700 (พ.ศ.2243) ประชากร 1,000,0000 เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากสารพัดทิศ รวมทั้งชาวยุโรปด้วย แต่อยุธยาก็สิ้นสุดลงเป็นเถ้าถ่านด้วยน้ำมือของกองทัพพม่า 14. ลอนดอน ใหญ่โตที่สุดในต้นศตวรรษที่ 19 หรือปี ค.ศ. 1825 ประชากร 1,335,000 คน ที่อยู่กันแออัดจนเกือบจะทุกย่านของเมืองหลวงมีสภาพเป็นสลัม อาชญากรรมลามเมือง ในปี 1829 รัฐบาลได้ตั้งกองกำลังตำรวจขึ้นอย่างเป็นทางการ ตั้งชื่อตามชื่อของนายกรัฐมนตรีโรเบิร์ต พีล (Robert Peel) ชาวอังกฤษเรียกตำรวจว่า "บ๊อบบี้ส์" (Bobbies) จนถึงทุกวันนี้ 15. นิวยอร์ก ในปี 1925 หรือต้นศตวรรษที่แล้วมีประชากรถึง 7,774,000 คน เป็นมหานครที่มองสู่อนาคตอย่างแท้จริง เป็นแห่งแรกของโลกที่สร้างตึกระฟ้า ถึงแม้ว่าจะเจอสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1929 แต่การก่อสร้างอาคารสูงเช่น ไครสเลอร์ เอ็มไพร์สเตท ลินคอล์นและอาคารวันวอลสตรีท ฯลฯ ก็ยังดำเนินต่อไป 16. โตเกียว ใน 1968 (พ.ศ.2511) เมืองหลวงของญี่ปุ่นมีประชากรถึง 20,500,000 คน ไม่เคยมีที่ไหนประวัติศาสตร์โลก แต่เศรษฐกิจของประเทศรุ่งเรืองสุดขีด ระหว่างปี 1953-1990 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจยุคหลังสงครามโชติช่วงมากที่สุด ญี่ปุ่นสร้างสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ออกสู่ตลาดโลกมากมายหลายชนิด |
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต