จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ...”
5 ธันวาคม 2555 เสียงแห่งความจงรักภักดีดังก้องกังวานไปทั่วหัวทุกระแหงของเมืองไทย
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันแห่งความปลาบปลื้มปีติของปวงชนชาวไทย
คนไทยภาคภูมิใจเป็นที่สุดที่มีในหลวงเป็นพระมหากษัตริย์ของปวงชนชาว ไทย เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพสกนิกร เป็นพ่อของลูกๆทุกคนในสยามประเทศ ซึ่งพระองค์ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดใน โลก
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นจอมปราชญ์ในหลายๆด้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือความเป็นปราชญ์ด้าน “ดิน” โดยพระราชกรณียกิจจำนวนมากของพระองค์ท่าน ต่างมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทรัพยากรดินอย่างต่อเนื่อง เป็นรูปธรรม ยังผลให้การพัฒนาที่ดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำ การปรับปรุงดินเสื่อมโทรมและดินที่มีปัญหา ดำเนินไปในทิศทางที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่เกษตรกรโดยทั่วหน้า
และด้วยพระปรีชาสามารถ สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (The International Union of Soil Science) จึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ทางดินเพื่อมนุษยธรรม (The humanitarian Soil Scientist) สดุดีพระเกียรติคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกำหนดวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันดินโลก” (World Soil Day) โดยมีองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ร่วมสนับสนุนอีกทางหนึ่ง
ฝายชะลอน้ำที่ห้วยฮ่องไคร้
1...
ด้วยทรงเห็นว่าดินเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการสร้างสมดุลให้สภาพแวด ล้อม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับดินเช่นเดียวกับน้ำ พระองค์ท่านทรงริเริ่มโครงการพัฒนาที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 เพื่อพลิกฟื้นผืนดินที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีสภาพที่ดีขึ้น สามารถใช้เพาะปลูกทำการเกษตรได้ โดยทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ ควบคู่ไปกับการจัดตั้งศูนย์พัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องดิน เป็นกรณี ตามสภาพปัญหาของพื้นที่นั้นๆ
สำหรับแนวพระราชดำริในการแก้ปัญหาเรื่องดินของในหลวง แบ่งเป็น 6 หมวดหลักๆ ได้แก่
-ดินทราย : ต้องเพิ่มกันชนให้ดิน
ดินทราย มีลักษณะโปร่งน้ำ รากพืชผ่านไปได้ง่าย ในฤดูแล้งน้ำในดินจะไม่เพียงพอ ทำให้พืชที่ปลูกใหม่มักจะตาย เพราะดินร้อนและแห้งจัด ต้องแก้ด้วยการเพิ่มความชื้นและเพิ่มอินทรียวัตถุที่จะทำหน้าที่เสมือนกันชน ให้แก่ดิน โดยศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ถือเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาเรื่องดินทรายที่มีแร่ธาตุน้อย
พระองค์ท่านจึงได้ให้แนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหา ด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อนำน้ำไปใช้พัฒนาการเกษตร ชะลอการไหลของน้ำ เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับดินและฟื้นฟูสภาพป่าไม้ มีการปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดินที่มีธาตุอาหาร สะสมอยู่
หลังจากดำเนินงานแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ศูนย์ฯเขาหินซ้อนฯ จากเดิมที่มีปัญหาเรื่องดิน(ทราย)เสื่อมโทรม ได้กลายมาเป็นพื้นที่สีเขียวสามารถปลูกพืชต่างๆได้เป็นอย่างดี
-ดินเป็นหิน กรวด และแห้งแล้ง : ต้องยึดดินและช่วยให้ชื้น
ดินเป็นหิน กรวด มีลักษณะเดียวกับดินทราย หน้าดินถูกชะล้างเหลือแต่ หิน กรวด พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้
พื้นที่ที่เป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการแก้ปัญหาด้วยฝายแม้วตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน เพื่อกักเก็บน้ำและสร้างความชุ่มชื้นให้ผืนดินผืนป่า มีการปลูกหญ้าแฝกเพื่อยึดดิน ป้องกันการชะล้าง การพังทลายของหน้าดิน
ผลจากการแก้ปัญหาพัฒนาดังกล่าว สามารถพลิกฟื้นให้ผืนป่าห้วยฮ่องไคร้ที่เคยเสื่อมโทรมกลับมาสมบูรณ์ กลายเป็นแหล่งต้นน้ำ ขณะที่ฝายแม้วในโครงการนี้ก็ได้กลายเป็นฝายต้นแบบให้กับหลายๆพื้นที่
ศูนย์ฯพิกุลทองฯ นราธิวาส ที่เป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว
-ดินดาน ดินแข็ง และดินลูกรัง : ต้องสร้างของดีซ้อนบนของเลว
ดินดาน ดินแข็ง ดินลูกรัง เป็นดินเนื้อละเอียด ฤดูแล้งจะแห้งแข็ง แตกระแหง น้ำและอากาศผ่านเข้าได้ยาก รากไม้ยากที่จะชอนไชลงไปในใต้ดิน
โครงการต้นแบบการที่แก้ปัญหาในเรื่องนี้คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยแก้ปัญหาด้วย การสร้างอ่างเก็บน้ำตามลำน้ำหลัก ปรับปรุงดินโดยให้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบ รวมถึงการปลูกหญ้าแฝกขวางแนวลาดเท เพื่อป้องกันดินถูกชะล้าง พังทลาย
หลังการแก้ปัญหา ปัจจุบันศูนย์ฯห้วยทรายฯ ที่เคยเป็นสภาพเสื่อมโทรมได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวที่สามารถทำการเกษตร ได้เป็นอย่างดี
-ดินถูกชะล้าง : ช่วยเหลือด้วยกำแพงที่มีชีวิต
ดินถูกชะล้าง คือ ดินที่มีหน้าดินอุดมสมบูรณ์ แต่ถูกกระแสน้ำและลม พัดพาเอาหน้าดินที่มีแร่ธาตุอาหารต่อการเจริญเติบโตของพืชไป
การแก้ปัญหาในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทาน แนวพระราชดำริให้ใช้กำแพงที่มีชีวิต นั่นก็คือหญ้าแฝก โดยโครงการพระราชดำริต่างๆจะมีการปลูกหญ้าแฝกเพื่อช่วยยึดดินและแก้ปัญหา หน้าดินถูกชะล้าง
สำหรับโครงการตัวอย่างในการพัฒนาหญ้าแฝก คือโครงการพัฒนาดอยตุง(พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงราย ซึ่งใช้การปลูกหญ้าแฝกเป็นเขื่อนตามธรรมชาติ ป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน ไม่ให้ดินเลื่อนไหล อีกทั้งยังช่วยกรองตะกอนดินที่น้ำพัดพามา นอกจากนี้ยังไม่ต้องสร้างแนวกำแพงโดยวิธีทางวิศวกรรม ช่วยให้หยัดงบประมาณได้เป็นจำนวนมาก และยังมีสภาพกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม
ผลสำเร็จจากโครงการนี้ ทำให้สภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาอีกครั้ง
-ดินพรุ หรือ ดินเปรี้ยว : ต้องทำให้กินโกรธ โดยแกล้งดิน
ดินพรุ เป็นพื้นดินที่มีสภาพน้ำขัง มีสภาพความเป็นกรดอย่างรุนแรง ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้
การแก้ปัญหาในสภาพดินพรุ ดินเปรี้ยว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระอัจฉริยะภาพ คิดค้นวิธีการที่เรียกว่า“แกล้งดิน” ขึ้น โดยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อให้ดินปล่อยแร่ธาตุที่เป็นกรดออกมา กลายเป็นดินที่มีกรดจัด เปรี้ยวจัด จากนั้นจึงใช้น้ำชะล้างดินควบคู่ไปกับปูน ซึ่งทรงเรียกว่า “ระบบซักผ้า” เมื่อใช้น้ำจืด ชะล้างกรดในดินไปเรื่อยๆ ความเป็นกรดจะค่อยๆจางลง จนสามารถใช้เพาะปลูก ทำการเกษตรได้
ความสำเร็จที่เด่นชัดในการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว ดินเป็นกรดจัด คือโครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.เมือง จ.นราธิวาส
-ดินเค็ม : ต้องล้างความเค็มออก
ดินเค็ม คือดินที่มีเกลืออยู่ในดินเป็นจำนวนมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริให้ใช้ระบบชลประทานในการล้างเกลือที่ผิวดิน ให้เกลือเจือจางจนสามารถใช้สอยได้
โครงการที่เป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาเรื่องนี้คือ โครงการแก้ไขปัญหาดินเค็มบริเวณห้วยบ่อแดง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
เด็กๆร่วมปลูกหญ้าแฝกตามแนวพระราชดำริ ป้องกันหน้าดินพังทลาย
2...
“...ดินแข็งอย่างนี้ใช้การไม่ได้ แต่ถ้าเราทำแนวหญ้าแฝกที่เหมาะสม มีฝนลงมา ความชื้นก็จะอยู่ในดิน รากแฝกมันลึกมาก ถึงให้เป็นเขื่อนกั้นแทนที่จะขุด พืชจะเป็นเขื่อนมีชีวิต แล้วในที่สุด เนื้อที่ตรงนั้นก็จะเกิดเป็นดินผิว เราจะปลูกอะไรก็ได้ ปลูกต้นไม้ก็ได้ ปลูกผักปลูกหญ้าอะไรก็ได้ทั้งนั้น...”
-พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2535
“หญ้าแฝกเป็นพืชที่มีระบบรากลึก แผ่กระจายลงไปในดินตรงๆ เป็นแผงเหมือนกำแพงช่วยกรองตะกอนดินและรักษาหน้าดินได้ดี จึงควรนำ มาศึกษา และทดลองปลูกในพื้นที่ของศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริและพื้นที่อื่นๆที่เหมาะสมอย่างกว้างขวาง โดยพิจารณาจากลักษณะของภูมิประเทศ คือ บนพื้นที่ภูเขา ให้ปลูกหญ้าแฝกตามแนวขวางของความลาดชันและในร่องน้ำของภูเขา เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดินและช่วยเก็บความชื้นของดินไว้ด้วย บนพื้นที่ราบให้ปลูกหญ้าแฝกให้ปลูกหญ้าแฝกรอบแปลงพืชไร่ ให้ปลูกตามร่องสลับกับพืชไร่ เพื่อที่รากของหญ้าแฝกจะอุ้มน้ำไว้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความชุ่มชื้นในดิน...”
-พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. พ.ศ. 2541
“เราจะสร้างของดีซ้อนบนของเลวนั้น ต้องสร้างผิวดินใหม่ขึ้นมา เมื่อหญ้าแฝกเจาะดินลงไปแล้วจะนำดินที่มีอาหารลงไป เวลาน้ำฝนชะมาจากภูเขา ชะใบไม้มาติดหญ้าแฝก ดินจะเพิ่มขึ้นแล้วก็ดินเลวจะเป็นดินดี”
-พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. พ.ศ. 2541
หนึ่งในพระปรีชาสามารถด้านการแก้ปัญหาเรื่องดินของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวก็คือการใช้หญ้าแฝกมาช่วยแก้ปัญหา ให้เป็นดัง “กำแพงธรรมชาติที่มีชีวิต” ที่ปรากฏในโครงการพระราชดำริจำนวนมาก ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาเรื่องดินได้อย่างเด่นชัดเป็นรูปธรรม ส่งผลให้หญ้าแฝกจากวัชพืชธรรมดาที่ถูกมองข้าม กลายเป็นสิ่งสำคัญที่มีบทบาทในการอนุรักษ์ แก้ปัญหาเรื่องดินและน้ำ
ด้วยพระปรีชาสามารถที่ทรงพระราชทานพระราชดำริในการใช้หญ้าแฝกมา อนุรักษ์ดินและน้ำ ทางสมาคมอนุรักษ์ดินนานาชาติ (International Erosion Control Association : IECA) จึงทูลเกล้าฯถวายรางวัล Internation Merit Awards ในฐานะเป็นนักอนุรักษ์ดินและน้ำดีเด่นของโลก
และนี่ก็คือส่วนหนึ่งในพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก ซึ่งการทรงงานหนักของพระองค์ท่านนั้นก็เพื่อพสกนิกรชาวไทยทุกคน
เป็นการทรงงานหนักเพื่อลูกๆทุกคนในประเทศนี้
3…
“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ...”
5 ธันวาคม 2555 เสียงแห่งความจงรักภักดีดังก้องกังวานไปทั่วหัวทุกระแหงของเมืองไทย
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันแห่งความปลาบปลื้มปีติของปวงชนชาวไทย ที่ได้เกิดเป็นคนไทยใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน เกิดเป็นลูกใต้พระบารมีของพ่อหลวง ซึ่งเสียงแห่งความจงรักภักดีนี้ จะดังอยู่ตลอดไปในหัวใจของคนไทยที่รักในหลวงทุกคน
*****************************************
หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจากหนังสือ “จอมปราชญ์แห่งดิน” โดย สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราช ดำริ(สำนักงาน กปร.)
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต