ปรีดิยาธร เตือนภัย จำนำข้าว เสียหาย 2-3 แสนล้าน
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
นักเศรษฐศาสตร์ จี้รัฐบาลยกเลิกนโยบายประชานิยมที่ไม่จำเป็น หวั่นกระทบวินัยการเงินการคลังหนี้รัฐพุ่ง' ปรีดิยาธร'เตือนจำนำข้าวขาดทุน2-3แสนล้าน
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศหรือทีดีอาร์ไอ กล่าวในงานเสวนาวิชาการ "วิพากษ์ผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล" จัดโดย สถาบันคึกฤทธิ์ ว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นนโยบายประชานิยมจนตรอกที่ต้องการชนะการเลือกตั้งเท่านั้น และหากจะประเมินผลงานรัฐบาลคงให้คะแนนสอบตก โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว15,000 บาทต่อตัน ที่ถือเป็นการกำหนดราคาเกินกว่าราคาตลาดทำให้การส่งออกข้าวของไทยลดลง และเสียส่วนแบ่งตลาดทันที ซึ่งหากไทยขายข้าวในราคาปัจจุบันที่ประมาณ 600 เหรียญสหรัฐต่อตันจะขาดทุน 100,000 ล้านบาท เพราะต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 800 เหรียญสหรัฐต่อตัน ประกอบกับข้าวที่รัฐบาลรับจำนำแบบทุกเมล็ดทำให้มีปัญหาเรื่องการจัดเก็บ และการระบายข้าว
รวมถึงภาระงบประมาณในการกู้เงินเพื่อมาทำโครงการจำนำข้าวต่อ พร้อมมองว่าโครงการรับจำนำข้าวเอื้อประโยชน์ต่อชาวนาบางกลุ่มเพียง 1 ล้านครัวเรือน ที่มีผลผลิตส่วนเกินที่ออกขายสู่ตลาด ซึ่งล้วนเป็นชาวนาที่มีฐานะร่ำรวย ขณะที่ชาวนาอีก 4 ล้านครัวเรือนที่ปลูกข้าวกินเอง ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากโครงการนี้
เขากล่าวด้วยว่า รัฐบาลควรยกเลิกนโยบายประชานิยมที่ไม่จำเป็นและเป็นภาระต่องบประมาณออกไป เช่น โครงการบ้านหลังแรก และรถคันแรก รวมถึงทยอยลดการจำนำข้าวแบบทุกเมล็ด ควรนำงบบประมาณไปใช้ในโครงการที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเพราะการที่รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อลงทุนถึง 2.5 ล้านล้านบาทอาจเป็นภาระให้กับรัฐบาลในอนาคต แม้ขณะนี้ระดับหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ระดับ42 % ต่อจีดีพี แต่หากรวมหนี้ที่รัฐนำไปหมกเม็ดไว้ตามหน่วยงานต่าง ๆทั้งหมดจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ต่อจีดีพี
ด้าน ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงความเป็นห่วงเรื่องวินัยทางการเงินการคลัง เพราะหากรัฐบาลขาดวินัยจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ในอนาคต โดยเฉพาะการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวที่ประเมินว่าจะขาดทุน 200,000 -300,000 ล้านบาท เพราะปริมาณการผลิตข้าวทั่วโลกสูง 400 ล้านตัน เทียบความต้องการบริโภค 30 ล้านตันต่อปี ทำให้ไทยขายข้าวไม่ได้เพราะเสียเปรียบด้านราคา
ดร.วิรไท สันติประภพ รองกรรมการผู้จัดการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประเมินผลการทำงานของรัฐบาลที่ 6 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 เพราะรัฐบาลละเลย 3 สิ่งสำคัญ คือไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน เพียงแต่นำมาตรการระยะสั้นมาใช้ซึ่งไม่มีผลต่อเศรษฐกิจระยะยาวเหมือนโครงการลงทุน ทั้งยังไม่มีคำว่าการปฏิรูปทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ระบบราชการและการคอร์รัปชั่น และรัฐบาลยังขาดความโปร่งใสในการบริหารจัดการหนี้ ไม่มีวินัยการเงิน การคลัง เห็นได้จากการย้ายหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินหรือ เอฟไอดีเอฟ ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแล
ขณะที่ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน ) แม้จะให้คะแนนรัฐบาลในการบริหารงานด้านเศรษฐกิจ 6 เต็ม 10 คะแนนแต่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการควบคุมราคาสินค้า โดยเฉพาะ อาหารปรุงสำเร็จเพราะกระทบต่อผู้ผลิตรายย่อย ที่มีกำไรน้อยหากรัฐบาลยังควคุมราคาสินค้าที่จำเป็นจะเกิดปัญหาการขาดแคลนเหมือนกรณีน้ำมันปาล์ม
ข้าว...พิลึก
จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย
พิลั่นนโยบายข้าวยิ่งนานวัน ยิ่งเห็นความพิลึกพิลั่น
ความพิลึกล่าสุด เปิดเผยมาจาก นิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย ที่ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ระบายข้าวสารในสต๊อกที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและ ข้าวสารที่เก็บไว้ในสต๊อกแล้วนับล้านตัน แต่ไม่มีการเปิดเผยปริมาณและราคาข้าวที่ขายออกไป
ที่สำคัญข้าวสารที่ระบายออกไปถูกเวียนเทียนขายในประเทศ โดยนำข้าวไปขายต่อให้โรงสีในโครงการที่มีสัญญาส่งมอบข้าวสารให้รัฐบาลนับ ล้านตัน ขณะที่ข้าวที่เปิดรับจำนำ โรงสีก็จะเอาไปสีแปรสภาพเป็นข้าวสารออกไปขาย
ผลที่ตามมา คือ ราคาข้าวเปลือกนอกโครงการตกเหลือตันละ 9,500 บาท ถึง 1 หมื่นบาท เพราะการแอบระบายข้าวสาร
นี่เป็นการประกาศกันซึ่งหน้าว่า โครงการรับจำนำข้าวมีกลิ่น
กลิ่นเกิดจากโรงสีที่รับจำนำข้าว เล่นงิ้ว ฟันกำไร 2 ต่อ
ต่อแรกเมื่อรับจำนำข้าวมาแล้ว ได้รับเงินค่าจำนำไปเรียบร้อย ก็เอาข้าวไปสี ขายหมุนเงินไปก่อนฟันไปเหนาะหนแรก
พอเกิดปัญหาจะต้องหาข้าวมาส่งมอบให้รัฐบาล ก็ใช้วิธีซิกแซ็ก ไปเจาะซื้อข้าวจากรัฐบาลนั่นแหละ แล้วก็เอามาสวมกับข้าวที่รับจำนำ โดยซื้อกลับในราคาต่ำกว่าที่จำนำมากโข ฟันเป็นหนที่ 2
ป่านฉะนี้ ยังมีแต่อาการ บี้ บอด ใบ้ ไม่มีใครหน้าไหนมาแจ้งแถลงไขว่าจริงหรือไม่จริง
ขณะเดียวกัน ยังเกิดประเด็นเพิ่มเติมอีก นั่นคือข้าวที่จำนำมาอยู่ที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) มีการขายให้กรมการค้าต่างประเทศไปเรียบร้อย
การขายให้กรมการค้าต่างประเทศ ไม่ผิดหรอก เพราะเป็นหน่วยงานของรัฐ และสามารถส่งออกข้าวไปต่างประเทศโดยเฉพาะในรูปรัฐต่อรัฐได้
แต่สิ่งที่ต้องติดตามก็คือ ข้าวที่ซื้อไป เอาไปทำอะไร
ที่สำคัญ การดำเนินงานทั้งหมด โปร่งใส หรือมีกลิ่นตุ ๆ
ในการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ปกติแล้วกรมการค้าต่างประเทศจะทำหน้าที่ลักษณะเป็นตัวแทนรัฐบาลไทย เจรจากับรัฐบาลต่างประเทศเพื่อขายข้าว จากนั้นเมื่อได้ทำสัญญาสั่งซื้อแล้วก็จะเอามากระจายให้เอกชนช่วยกันส่งมอบ
แน่นอน ก่อนการเจรจาขายข้าว กรมการค้าต่างประเทศต้องถกกับผู้ส่งออกข้าวแล้วว่า ราคาที่ไปขาย รับกันได้หรือไม่ ถ้าได้ก็เดินหน้า
แต่นี่ กรมการค้าต่างประเทศไปซื้อข้าวสารเอง เหมือนกับจะส่งมอบเอง ซึ่งยังไม่รู้จะส่งไปที่ไหน
งานนี้จึง พิลึก พิลั่น พิสดาร เป็นที่สุด
รักษ์ไม้,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,มูลไส้เดือนดิน,การเลี้ยงไส้เดือน,ปุ๋ยอินทรีย์,ปุ๋ยชีวภาพ