จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา
กลายเป็นประเด็นที่ชวนให้บรรดานักลงทุนและนักธุรกิจทั่วโลกต้องหันมาทำ ความเข้าใจกันอีกรอบ เมื่อรายงานฉบับล่าสุดประจำปี 2554 ของ สวิส รี บริษัทด้านประกันภัยชั้นนำของโลก ออกมาระบุว่า ปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ของการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็คือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะภัยน้ำท่วมไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่รับทราบกันทั่วหน้าเป็นอย่างดี เนื่องจากหลายบริษัทชั้นนำของโลกมีประสบการณ์โดยตรงมาแล้วกับเหตุอุทกภัย ครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี ของประเทศไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว
แต่ที่ชวนให้พิศวงก็คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าหลายพื้นที่ในภูมิภาคดังกล่าวเสี่ยงภัยน้ำท่วมแน่นอน โดยมีจีนนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และมาเลเซีย ขณะที่อินโดนีเซียติดอยู่ในอันดับ 7 ไทยอันดับ 9 และเวียดนามอันดับ 10 ตัวเลขการก่อสร้างโรงงาน อาคาร และนิคมอุตสาหกรรมบนพื้นที่น้ำท่วมถึงกับยังคงเดินหน้าเพิ่มแบบพุ่งพรวดไม่ มีลด
ยืนยันได้จากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเทกซัส เอแอนด์เอ็ม และมหาวิทยาลัยเยล ในสหรัฐ ที่ระบุว่า พื้นที่ราบลุ่มหรือแถบชายฝั่งของภูมิภาค ได้รับการปรับปรุงพัฒนาเปลี่ยนเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว โดยมีการยกตัวอย่างของประเทศจีนที่มีการคาดการณ์กันว่า ด้วยอัตราความเร็วในการขยายพื้นที่เขตอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ภายในปี 2573 พื้นที่ราบลุ่มของจีนจะมีอาณาเขตเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่เทียบเท่าประเทศ เนเธอร์แลนด์กับเบลเยียมรวมกัน!
เหตุผลสำคัญสำหรับสถานการณ์ข้างต้นสืบเนื่องมาจากความต้องการของรัฐบาล หรือผู้นำในเอเชียที่จะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะยากจน ส่งผลให้เกิดการผลักดันตัวเองอย่างหนัก และทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีบรรดาโรงงานมากมายผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือ ความเร่งรีบดังกล่าวทำให้บริษัทส่วนใหญ่ต่างสร้างโรงงานบนพื้นที่แถบชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ราบลุ่มบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ด้วยเห็นแก่ความสะดวกรวดเร็ว โดยปราศจากการอ้างอิงข้อมูลเชิงสถิติในเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติอย่างน้ำท่วม หรือพายุ
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือว่า ต่อให้รู้ว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติเช่นน้ำท่วมเป็นปัจจัยเสี่ยงหมายเลขหนึ่ง ของภาคอุตสาหกรรม แต่เอเชียแปซิฟิก กลับไม่มีทีท่าที่จะเรียนรู้จัดการปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง แม้จะมีบทเรียนราคาแพงเช่นน้ำท่วมครั้งใหญ่ของไทยเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วที่ ทำเอาบริษัททั้งไทยและต่างชาติเสียหายหลายล้านล้านบาท
นับเฉพาะแค่ธุรกิจประกันภัยก็สูญไปกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6 แสนล้านบาท) ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์การประกันภัย โดยยังไม่นับรวมความเสียหายอีกหลายแสนล้านบาทจากการที่โรงงานต้องหยุดชะงัก ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้นานกว่า 3 เดือน
เป็นความผิดซ้ำซากที่ อดัม สวิตเซอร์ นักวิทยาศาสตร์จากหอสังเกตการณ์ภาคพื้นดินในสิงคโปร์ลงความเห็น หลังจากที่ได้มีโอกาสลงพื้นที่ตรวจสอบท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งใน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ต้องตั้งคำถามว่า “ใครทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงให้กับเจ้าของสถานที่เหล่านี้ก่อนการปลูก สร้าง”
และแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ถึงจะเผชิญหน้ากับอุทกภัยทุกปี แต่จนแล้วจนรอด แทบจะทุกประเทศในเอเชียแปซิฟิกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสถานะประเทศกำลังพัฒนาและ เป็นตลาดเกิดใหม่ ล้วนปราศจากมาตรการบริหารจัดการ แก้ไข บรรเทาและฟื้นฟูอย่างเหมาะสมครบถ้วนรอบด้านเพียงพอและดีพอ
จนเป็นความหวาดวิตกที่บรรดาบริษัทประกันภัยต้องพร้อมใจออกมาเตือนสติ เอเชีย ว่า อย่าทำตัวให้เคยชินกับปัญหาน้ำท่วมจนเกินไปนัก เพราะการศึกษาทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกในปัจจุบันกำลังชี้ให้ เห็นว่าแนวโน้มการเกิดน้ำท่วมนั้นจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากหลายๆ ปัจจัยรวมกัน ทั้งระดับน้ำทะเลและปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนความบ่อยในการเกิดพายุ
เรียกได้ว่าความเสียหายจากภัยน้ำท่วมอาจเทียบได้กับเหตุแผ่นดินไหวหรือ พายุถล่ม และเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมมีแนวโน้มเกิดขึ้นได้ในทุกประเทศในเอเชีย ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมในอนาคตข้างหน้าจึงอาจมีมูลค่ามหาศาลเกินกว่า ที่บรรดาภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จะคาดถึงได้
และท้ายที่สุด ปัญหาน้ำท่วมที่มีแนวโน้มกลายเป็นวงจรให้ธุรกิจต้องขาดทุนซ้ำซากจะทำให้นัก ลงทุนหรือบรรดาบริษัทข้ามชาติหันหน้าหนีออกจากภูมิภาคแห่งนี้ แม้จะมีการคาดการณ์หรือข้อมูลรับรองในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ก้าว หน้าสดใสมากแค่ไหนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนประชากรมหาศาลที่คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วโลก และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากยังเลือกที่จะลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไปไม่ เปลี่ยนแปลง
พร้อมกับที่ยอมรับว่า ภัยพิบัติทั้งน้ำท่วม พายุ หรือแผ่นดินไหว เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของภูมิภาคแห่งนี้ที่จะเกิดขึ้นได้ และเกินกำลังความสามารถของมนุษย์จะไปห้ามปรามกะเกณฑ์ ป่วยการที่จะมัวแต่นั่งกลัว นั่งกังวล
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บรรดาบริษัทต่างชาติเหล่านี้จะหลับหูหลับตาเข้ามาลงทุนโดยเมินเฉยต่อข้อมูล เหล่านี้เสียทีเดียว โดยข้อมูลจากบริษัทประกันภัยหลายแห่ง ทั้งสวิส รี มิวนิก รี หรือกาย คาร์เพนเตอร์ ต่างระบุตรงกันว่า ภายหลังจากเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ในไทยที่ผ่านมา บริษัทข้ามชาติส่วนใหญ่ต่างให้ความสำคัญกับมาตรการและแนวทางการบริหารจัดการ น้ำ การชลประทาน การระบายน้ำ การป้องกันภัยพิบัติทางน้ำ และการฟื้นฟูของแต่ละประเทศในเอเชียเป็นสำคัญ
หลักฐานยืนยันก็คือ กรณีการเคลื่อนย้ายโรงงานหรือการเปลี่ยนแผนขยายโรงงานของบริษัทต่างชาติที่ จากเดิมจะอยู่ในไทยต่อไป บางบริษัทก็หันไปลงทุนในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างมาเลเซียแทน ทั้งๆ ที่อันดับความเสี่ยงภัยน้ำท่วมของมาเลเซียมีสูงกว่าไทย
สาเหตุหนึ่งเดียวย่อมหนีไม่พ้นประเด็นที่ว่ามาเลเซียมีระบบบริหารจัดการ น้ำและการป้องกันภัยน้ำท่วมที่ดีกว่าประเทศไทย จนนักลงทุนต้องยอมรับและไว้วางใจ
ขณะที่ของประเทศไทย เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ต่างหาทางขวนขวายจัดการร่วมด้วยช่วยตนเอง เช่น การสร้างคันดินและเขื่อนคอนกรีตกั้นน้ำ พร้อมๆ กับคิดแผนสำรอง อย่างการหาโรงงานแห่งที่สองในกรณีที่แห่งแรกไม่สามารถดำเนินการได้
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักระบุว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนตัวอย่างให้ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย แห่งนี้ได้เรียนรู้และตระหนักถึงแนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติที่จะมีบทบาทต่อ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้ว่าสิ่งสำคัญไม่ได้ อยู่ที่ปัจจัยดึงดูดทางความก้าวหน้าและความสมบูรณ์ของสาธารณูปโภคขั้นพื้น ฐานแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ต้องรวมถึงความชัดเจนและความพร้อมของมาตรการในการรับมือกับภัยพิบัติเป็นสำคัญด้วยเช่นกัน
รักษ์ไม้,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,มูลไส้เดือนดิน,การเลี้ยงไส้เดือน,ปุ๋ยอินทรีย์,ปุ๋ยชีวภาพ